เป็นเวลากว่าสามสิบปีที่ นภินทร์ จอกลอย อดีตผู้บัญชาการเรือนจากลางจังหวัดอุดรธานี ได้ใช้ธรรมะในการกล่อมเกลาจิตใจผู้ต้องโทษให้กลับมามีชีวิตใหม่ได้อีกครั้ง แม้ปัจจุบันจะเข้าสู่วัยเกษียณ เขายังคงเดินทางไปให้ความรู้และเผยแพร่หลักธรรมในการดำเนินชีวิตให้กับทุกหน่วยงานที่ร้องขอโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน
‘พ่อ’ ผู้ให้ชีวิตใหม่กับ ‘ลูก’
เนื่องจากบวชเป็นสามเณรและพระภิกษุกว่า 10 ปี ก่อนจะมารับราชการ เวลาผมพูดคุยกับผู้ต้องโทษจะไม่มีคำพูดที่รุนแรงแม้แต่น้อย มอบความเมตตา เมื่อสัมผัสถึงใจที่เราส่งไปให้ พวกเขาจึงเรียกผมว่าพ่อและผมเองก็เรียกทุกคนว่าลูก และไม่มีอะไรที่ดีไปกว่าธรรมะในการดูแลลูกๆ เหล่านี้ ตื่นเช้าขึ้นมาก็ให้ไหว้พระ สวดมนต์ ก่อนนอนก็เช่นกัน หลายเรือนจำมีการเปิดธรรมะให้ศึกษา สอนวิปัสสนา การปฏิบัติตามหลักพระพุทธศาสนาค่อยๆ เปลี่ยนแปลงเขาทีละนิด เมื่อพ้นโทษออกไปมีพ่อแม่หลายคนมาขอบคุณผมที่มอบลูกคนใหม่ให้ อดีตผู้ต้องขังบางคนซาบซึ้งกับธรรมะจากในเรือนจำ ออกมาแล้วบวชเป็นพระแล้วไม่สึกก็มี
อดีต ผบ. ผู้มีธรรมะเป็นเกราะคุ้มภัย
ในช่วงที่ดำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหาร ไม่ว่าจะไปประจำที่เรือนจำไหนก็ถูกข่มขู่ ถามว่ากลัวไหม ไม่มีใครที่ไม่กลัวตาย แต่ผมคิดเสมอว่าหากทำความดีพระย่อมคุ้มครอง บอกกับตัวเองว่าต้องสู้ ยิ่งโดนขู่ยิ่งต้องลุยไปข้างหน้า ตั้งมั่นในความสุจริต เจียมตัว พอเพียง มีสติในทุกอย่างที่ทำ สำคัญที่สุดคือต้องทำงานอย่างเต็มกำลัง ที่หน้าห้องทำงานของผมจะมีป้ายที่เขียนว่า “วันนี้คุณทำงานคุ้มค่าเงินเดือนหรือยัง” ติดไว้เพื่อนเตือนตัวเองและผู้ใต้บังคับบัญชา ตัวเองไม่เคยเบียดบังเวลาราชการ เวลาไปทำงานนอกสถานที่ก็ต้องกลับมาทำงานชดเชยให้หน่วยงาน เป็นที่มาของรางวัลเกียรติยศข้าราชการต้นแบบ ในโครงการคนดีของแผ่นดินประจำ พ.ศ. 2553 และ 2554
เดินหน้าตอบแทนคุณแผ่นดิน
ทุกวันนี้แม้จะเกษียณแล้วก็ยังไปบรรยายให้กับหน่วยงานที่ติดต่อมา ไปด้วยใจจริงๆ คิดในมุมของบุญกุศลมากกว่าเงินทอง ทำเพื่อทดแทนบุญคุณของแผ่นดิน ใช้เงินบำนาญของหลวงก็ต้องทำงานเพื่อประเทศชาติต่อไป นอกจากจะบอกกล่าวเรื่องราวที่จะเป็นอุทาหรณ์ให้คนไม่อยากทำผิดกฎหมาย สอดแทรกธรรมะเข้ากับเหตุการณ์ปัจจุบัน ผมอยากจะสื่อสารกับทุกคนว่าอย่าเหมารวมผู้ต้องโทษทั้งหมดว่าเปลี่ยนแปลงตัวเองไม่ได้ จากสถิติของกรมราชทัณฑ์ มีเพียง 5% ของผู้ต้องโทษเท่านั้นที่กลับไปทำผิดซ้ำ อีก 95% ยังสามารถเป็นคนดีได้
ขอบคุณนิตยสาร HELLO!