รู้ไหมว่า? หากอยากทำภาพโฆษณาสินค้าออกมาสักชิ้น ถ้าเป็นหลายสิบปีก่อน ต้องใช้เวลาการทำงาน ทรัพยากรบุคคล และค่าใช้จ่ายในการผลิต เช่น ค่าจ้างนางแบบ ช่างแต่งหน้าทำผม ค่าเช่าชุด ค่าเช่าสตูดิโอ ค่าจ้างช่างภาพ ฯลฯ เป็นจำนวนเงิน และระยะเวลานานเท่าไหร่
แต่ทุกวันนี้เพียงแค่มี MidJourney AI ตัวเดียว จ่ายเพียง 10 เหรียญต่อเดือน หรือราวสามร้อยกว่าบาท คุณก็สามารถทำรูปภาพโฆษณาสินค้าได้มากถึง 200 ภาพต่อเดือน แถมทำเสร็จได้ในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง
นี่คือ ตัวอย่างความมหัศจรรย์ของ AI ที่จะเข้ามาเป็นตัวช่วยให้การทำงานในธุรกิจของคุณให้ง่ายขึ้น แถมยังช่วยลดค่าใช้จ่าย ย่นระยะเวลาการทำงานให้น้อยลงได้อย่างน่าเหลือเชื่อ…จะดีกว่าไหม ถ้าวันนี้คุณมีผู้ช่วยเพิ่มขึ้นมาได้ง่ายๆ เพิ่มคุณค่ามากขึ้น แต่ลดการใช้พลังให้น้อยลง
K SME CARE ชวนเพิ่มทักษะการใช้ AI กับธุรกิจ จากงานสัมมนา “AI for Business” โดยมีวิทยากร คุณปฤณ จำเริญพานิช ที่ปรึกษาด้านการตลาดดิจิทัล และเทคโนโลยี AI มาแนะนำเคล็ดลับดีๆ การนำ AI มาใช้ในการทำธุรกิจกัน
ก่อนจะไปเรียนรู้วิธีการนำ AI มาใช้พัฒนาการทำงานในธุรกิจ คุณปฤณ ได้ฉายภาพง่ายๆ ให้เห็นว่า จากที่หลายคนกังวลว่าวันหนึ่ง AI จะดิสรัปต์การทำงานของมนุษย์ แต่จริงๆ แล้ว คือ ผู้ช่วยที่ดีต่างหาก
“ย้อนไปเมื่อเกือบ 40 กว่าปีก่อน Microsoft Excel ถูกคิดค้นขึ้นมาเป็นครั้งแรก เพื่อใช้จัดระเบียบข้อมูลในรูปแบบตารางและการคำนวณที่ง่าย สะดวกขึ้น หลายคนเป็นกังวลว่าตำแหน่งพนักงานบัญชีอาจถูกลดบทบาทลง แต่จนถึงทุกวันนี้ ตำแหน่งพนักงานบัญชีก็ยังคงอยู่ เช่นเดียวกันกับในวันนี้ AI ไม่ได้มาแทนที่ เป้าหมายที่แท้จริง คือเพื่อสร้าง Productivity ที่ดีขึ้น คุณค่าเยอะขึ้น โดยใช้พลังและเวลาน้อยลง”
- เช็กก่อนว่าอยู่ Level ไหน?
ก่อนจะเริ่มใช้ AI แบบจริงจัง อันดับแรก ต้องลองสำรวจก่อนว่าพนักงานของคุณ หรือแม้แต่คุณเองมีความรู้เกี่ยวกับการใช้ AI อยู่ใน Level ไหน เพื่อการเตรียมความพร้อมที่แตกต่างกัน เพื่อให้มองเห็นภาพได้เข้าใจมากขึ้น คุณปฤณ ได้แบ่งทักษะผู้ใช้ AI เปรียบเทียบกับตัวละครต่างๆ ในเกมการต่อสู้ ไว้ดังนี้
Level 0 : AI Sleeper - Villager ชาวบ้านธรรมดา ความรู้ AI เท่ากับศูนย์ เสี่ยงตกยุค ยังไม่ได้นำมาใช้ประโยชน์อะไร
Level 1 : AI Explorer - Novice นักผจญภัยมือใหม่ เริ่มหัดใช้ AI เช่น การแปลภาษา ช่วยประหยัดเวลาส่วนตัวมากขึ้น (คนส่วนใหญ่กว่า 80% อยู่ในแรงก์นี้)
Level 2 : AI Player - Swordman นักดาบที่รู้ท่าพื้นฐาน เริ่มทำงานร่วมกับ AI ได้, รู้จัก AI หลายตัว รู้วิธีการเขียน Prompt ดีขึ้น เพื่อลดภาระงานบางส่วน
Level 3 : AI Integrator - Knight นักรบที่สร้างคอมโบได้เอง รู้ว่า AI ตัวไหนเหมาะกับงานส่วนไหน สร้าง Workflow เชื่อม AI หลายตัวให้ทำงานร่วมกันได้ เพื่อลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพให้ทั้งกระบวนการทำงาน
Level 4 : AI Transformer - Paladin ยอดขุนศึกผู้เปลี่ยนสนามรบ ออกแบบและสร้างระบบงาน AI ของทั้งองค์กรได้ เปลี่ยนโครงสร้างองค์กร เพิ่มความได้เปรียบระยะยาว
- แยกแยะประเภทงาน ใช้คน : AI สัดส่วนเท่าไหร่
ทำความเข้าใจในงานแต่ละส่วน งานไหนสามารถนำ AI เข้าไปใช้ได้บ้าง ในสัดส่วนเท่าไหร่ งานไหนต้องใช้คนเข้ามาร่วมด้วย แบ่งได้ 5 อันดับ ดังนี้
หน้าที่สำคัญ คือ เจ้าของกิจการควรรู้ว่า งานไหนควรใช้ AI เท่าไหร่/คนเท่าไหร่ งานไหน ไม่เหมาะกับการใช้ AI บ้าง
วันนี้ AI พัฒนาไปไกลกว่าการวิเคราะห์หรือประมวลผลข้อมูล เราเข้าสู่ยุคของ “Generative AI” ที่สามารถ สร้างผลงานใหม่ๆ ได้จากไอเดียมนุษย์ เช่น สร้างคอนเทนต์ วิดีโอ ภาพ หรือเสียง ซึ่งช่วยยกระดับการทำงานให้เทียบเท่าทีมเอเยนซีขนาดใหญ่ได้เลย สามารถแบ่งออกตามสายงานต่างๆ ได้ ตามตัวอย่างถัดไปนี้
รู้จัก 5 กลุ่ม Gen AI ที่คนทำธุรกิจไม่ควรพลาด
- สายวิเคราะห์ จัดการข้อมูล และสายคอนเทนต์
Claude 3 – คอนเทนต์ ภาษาสวย เข้าใจภาษามนุษย์ได้ดี
Perplexity – วิเคราะห์ข้อมูลคู่แข่ง ตลาด แหล่งอ้างอิงน่าเชื่อถือ
Copilot – เขียนสรุป จัดระเบียบเอกสาร
- สายสร้างภาพ อินโฟกราฟิก และพรีเซนเทชัน
MidJourney – ภาพ/วิดีโอ ละมุน เสมือนจริง มีมิติ
Gamma – พรีเซนเทชันแบบง่าย ในเวลาไม่กี่วินาที
Napkin – Napkin ทำอินโฟกราฟิก จากเอกสารได้ง่าย ๆ
- สายวิดีโอ และตัดต่อ
Kling – ทำภาพนิ่งให้เป็นวิดีโอสั้น รูปสวย เป็นธรรมชาติ
Heygen – สร้างวิดีโอคนพูดได้สมจริง
Runway – สร้างวิดีโอระดับโปรดักชัน
- สายเสียง ดนตรี Sound Effect
Suno – สร้างเพลง ทำนองได้ง่ายๆ
Botnoi – สร้างเสียงพากย์ภาษาไทย ได้หลายภาค
Google AI Studio – สร้างเสียงจากข้อความ เป็น Podcast ได้
- สายประชุม
Otter AI – ถอดเสียงการประชุม สัมภาษณ์แบบเรียลไทม์
Meetgeek – บันทึกเสียง และสรุปประชุมออนไลน์
Tl;dv – บันทึก ถอดเสียง ให้ข้อมูลเชิงลึกได้
ในงาน 1 ชิ้น กว่าจะเสร็จสมบูรณ์ออกมาได้ ไม่ใช่การเลือกใช้ AI แค่ตัวใดตัวหนึ่ง แต่ต้องผสมผสานหลายตัว เพื่อให้งานออกมาสมบูรณ์ที่สุด
วิธีการ คือ ให้ลองเขียน Workflow โดยแยกย่อยออกมาว่าในผลงานแต่ละชิ้นที่ต้องการนั้น ประกอบด้วยงานด้านใดบ้าง เพื่อมองหา AI ที่เหมาะสม นำมาช่วยงาน
ยกตัวอย่าง Content AI Workflow ประกอบด้วยงาน 5 ส่วน ดังนี้
ถึงแม้ AI จะเป็นปัญญาประดิษฐ์ที่มีความฉลาดเฉลียวมากแค่ไหน แต่จะทำงานได้ดีมากแค่ไหน สิ่งสำคัญขึ้นอยู่กับ “Prompt” หรือชุดคำสั่ง เพราะ AI ยังคงทำงานตามคำสั่งมนุษย์ ดังนั้น หากเราสามารถสร้างชุดคำสั่งที่ชัดเจน มีรายละเอียดครบถ้วน ก็ยิ่งจะทำให้ AI สามารถช่วยงานได้ดีมากขึ้น
คุณปฤณ ได้แนะนำหลักการสร้าง Prompt ที่ดี ดังนี้
กฎข้อแรก : ยิ่งคุย ยิ่งเข้าใจ ใน 1 ห้องแชตควรคุยเรื่องเดียว เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ ลงลึก
กฎข้อสอง : สอน ก่อนสั่ง บอกเล่าข้อมูลแบรนด์ ธุรกิจ สร้างความเข้าใจ เพื่อผลลัพธ์แม่นยำมากขึ้น
กฎข้อสาม : ซักไซ้ไล่เลียง ตรวจเช็กข้อมูล ซักถามเพิ่มเติม ขอตัวอย่างเพิ่ม ขอแหล่งอ้างอิง
กฎข้อสี่ : สั่งให้ละเอียด ใคร ทำอะไร เพื่ออะไร เพื่อใคร อย่างไร ฯลฯ
AI Transformation จะเกิดขึ้นได้ในองค์กรจริงๆ เครื่องมืออาจเป็นส่วนหนึ่ง แต่สิ่งสำคัญ คือ การเลือกบุคคลให้เหมาะสมกับงานด้วย
Put the Right Man, With the Right AI,
Into the Right Process, For the Right Job.
เลือกคนที่ใช่ + ใช้ AI ที่เหมาะสม + กระบวนการที่เหมาะสม = ธุรกิจไปต่อได้