เมื่อ Climate Change ไม่ใช่แค่ปัญหาสิ่งแวดล้อม แต่กลายเป็นต้นทุนทางเศรษฐกิจระดับโลก ภาคธุรกิจไทยจึงต้องเร่งปรับตัวจาก “ผู้รับผลกระทบ” ไปสู่ “ผู้ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง” ไม่ว่าจะเป็นการรับมือกับความเสี่ยงทางกายภาพ ภาษีคาร์บอน กฎหมายใหม่ ไปจนถึงพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป
ด้วยเหตุนี้ K SME CARE โดยธนาคารกสิกรไทย จึงพาไปสำรวจภาพรวมเชิงลึกของการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืน ผ่านมุมมองของไทยอีสเทิร์น กรุ๊ป, ธนาคารกสิกรไทย และ KCLIMATE 1.5
Circular Economy กลยุทธ์เปลี่ยนปัญหาให้เป็นโอกาสของไทยอีสเทิร์น กรุ๊ป
สินีนุช โกกนุทาภรณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยอีสเทิร์น กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจำหน่ายยางธรรมชาติและผู้ผลิตและจำหน่ายน้ำมันปาล์มดิบแชร์ประสบการณ์การขับเคลื่อนธุรกิจด้วยแนวคิด Circular Economy ที่ไม่เพียงช่วยลดผลกระทบจาก Climate Change แต่ยังสร้างโอกาสเติบโตอย่างยั่งยืน
“การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศหรือ Climate Change ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงมากขึ้นทุกปี การรับมือจึงไม่ใช่แค่เรื่อง “การลดผลกระทบ” แต่ยังต้องมี “การปรับตัว” ควบคู่กัน”
สินีนุชยังชี้ให้เห็นถึงบริบทใหญ่ของโลกที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว จากยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมจนถึงปัจจุบัน มนุษย์ใช้ทรัพยากรโลกมากกว่า 100,000 ล้านตันต่อปี ขณะที่ประชากรยังคงเติบโต และอายุยืนยาวขึ้น จนมีการคาดการณ์ว่าภายในปี 2030 โลกอาจต้องใช้ทรัพยากรเทียบเท่า "โลกอีกหนึ่งใบ" หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงวิธีการดำเนินธุรกิจ
ท่ามกลางวิกฤตทรัพยากร แนวคิด Circular Economy จึงกลายเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ธุรกิจทุกประเภทสามารถนำไปใช้ได้ โดยหลักการคือ “ใช้ให้คุ้ม คิดให้ครบ และนำกลับมาใช้ใหม่ให้ได้มากที่สุด” ไม่ใช่แค่การรีไซเคิล แต่ครอบคลุมตั้งแต่การเลือกวัตถุดิบ การออกแบบกระบวนการ ไปจนถึงการจัดการของเสีย
ความรับผิดชอบในสิ่งที่ทำ หลักคิดจากรัชกาลที่ 9 สู่กลยุทธ์องค์กรไทยอีสเทิร์น
สำหรับไทยอีสเทิร์น การขับเคลื่อนด้านความยั่งยืนเริ่มต้นจากหลักคิดเรียบง่ายแต่ทรงพลัง นั่นคือ “ความรับผิดชอบในสิ่งที่ทำ” ซึ่งเป็นพระราชดำรัสของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่พระราชทานไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2517 หลักคิดนี้ลึกซึ้งเกินกว่าการดูแลเพียงในเขตโรงงาน แต่รวมถึงการใส่ใจต่อชุมชน สิ่งแวดล้อม ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และห่วงโซ่อุปทานทั้งระบบ
แนวทางดังกล่าวได้กลายเป็นรากฐานของกลยุทธ์ด้านสิ่งแวดล้อมของไทยอีสเทิร์น และสะท้อนผ่านทุกกระบวนการ ตั้งแต่การเลือกวิธีจัดการของเสีย ไปจนถึงการพัฒนาเศรษฐกิจหมุนเวียน และการสร้างความร่วมมือระหว่างภาคอุตสาหกรรมและสังคมโดยรอบ
Business Responsibility 2025 จากจุดเริ่มต้นสู่โมเดลความยั่งยืนที่จับต้องได้
นีนุช กล่าวว่า สำหรับไทยอีสเทิร์น "ความรับผิดชอบทางธุรกิจ" (Business Responsibility) ไม่ได้เป็นเพียงแนวคิดเชิงจริยธรรม แต่ถูกกำหนดให้เป็นตัวชี้วัดสำคัญขององค์กรในปี 2025 โดยมีรากฐานที่สั่งสมมายาวนานตั้งแต่ก่อนปี 2543 ผ่านแนวทาง 3R - Reuse, Reduce และ Reprocess เพื่อยกระดับประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากร ลดของเสีย และควบคุมต้นทุนในทุกกระบวนการผลิต
จากนั้นบริษัทจึงต่อยอดด้วยการน้อมนำหลัก เศรษฐกิจพอเพียง มาปรับใช้ในบริบทอุตสาหกรรม เริ่มจากการจัดการทรัพยากรน้ำอย่างมีประสิทธิภาพภายใต้แนวคิด Water Management และพัฒนาไปสู่การเป็นองค์กรที่สามารถ พึ่งพาตนเองอย่างยั่งยืน (Self-Sustainability) ในทุกด้าน ทั้งน้ำ พลังงาน และแรงงาน ใช้เวลาสั่งสมกว่า 20 ปี จนสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง แม้ในยามวิกฤต
ต่อมาองค์กรได้ขับเคลื่อนด้วยแนวคิด Circular Economy เปลี่ยน “ของเสีย” ให้กลายเป็น “ต้นทุนแห่งโอกาส” จนพัฒนาเป็น Industrial Symbiosis แห่งแรกของประเทศไทย ซึ่งหมายถึงการเชื่อมโยงภาคอุตสาหกรรมให้ใช้ทรัพยากรร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และเสริมสร้างความร่วมมือเชิงระบบ
ปัจจุบัน ไทยอีสเทิร์นกำลังมุ่งสู่เป้าหมายระดับโลกด้วยการเป็นส่วนหนึ่งของ Low-Carbon Economy ลดการปล่อยคาร์บอนอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อร่วมรับมือกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศ
โมเดลแห่งความยั่งยืนจาก Pain Point สู่แผนปฏิบัติจริง
กรอบการดำเนินงานเพื่อความยั่งยืนของไทยอีสเทิร์นที่ใช้ตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน ได้พัฒนาขึ้นจาก “Pain Point” จริงขององค์กร ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการใช้น้ำจำนวนมาก การใช้พลังงานสูง การจัดการของเสียที่ซับซ้อน รวมถึงความเปราะบางของห่วงโซ่อุปทาน จากปัญหาเหล่านี้จึงได้ออกแบบ Framework ด้านความยั่งยืน ที่ครอบคลุม 6 มิติ ได้แก่
ทั้งหมดนี้คือองค์ประกอบของ BCG Model ที่เราได้ต่อจิ๊กซอว์มานานกว่า 20 ปี จากจุดเล็กๆ ที่เริ่มด้วยความรับผิดชอบในสิ่งที่ทำ สู่โมเดลแห่งความยั่งยืนที่สามารถขับเคลื่อนทั้งองค์กรและอุตสาหกรรมไปพร้อมกัน
Climate Change จากต้นทุนแฝงสู่โจทย์ใหญ่ของธุรกิจไทย
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ไม่ใช่เพียงปัญหาสิ่งแวดล้อมอีกต่อไป แต่กำลังก้าวขึ้นเป็นต้นทุนเศรษฐกิจระดับโลก ดร.วิชัย ณรงค์วณิชย์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย และประธานกรรมการ บริษัท KCLIMATE 1.5 จำกัด ระบุว่ารายงานจาก World Economic Forum ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ความสูญเสียจาก Climate Change สูงถึง 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อชั่วโมง หรือรวมแล้วมากกว่า 2.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ในประเทศไทย ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า เพียงน้ำท่วมใหญ่หนึ่งครั้ง อาจสร้างความเสียหายถึง 30,000 ล้านบาท แม้ภาครัฐลงทุนกว่า 1 ล้านล้านบาทในการบริหารจัดการน้ำ แต่ก็ยังไม่อาจรับมือกับภัยธรรมชาติที่ทวีความรุนแรงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
จากข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) ในปี 2015 กำหนดเป้าหมายสำคัญในการควบคุมอุณหภูมิโลกไม่ให้สูงเกิน 1.5-2 องศาเซลเซียสภายในปี 2100 หลายประเทศกำลังปรับนโยบายเพื่อควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ไม่เกินเป้าหมายที่กำหนด ภาคธุรกิจจึงถูกกดดันให้ปรับตัวตาม
โอกาสใหม่ท่ามกลางความท้าทาย
ประเทศไทยอยู่ระหว่างพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งหนึ่งในมาตรการสำคัญคือการบังคับให้อุตสาหกรรมบางประเภท “วัดและรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจก” และมี “ภาษีคาร์บอน” อีกด้วย
ในระดับนโยบายประเทศไทยอยู่ระหว่างการจัดทำ NDC 3.0 (Nationally Determined Contributions) ซึ่งเป็นเวอร์ชันปรับปรุงใหม่จาก NDC 2.0 ซึ่งมีตั้งเป้าให้เข้มข้นยิ่งขึ้น โดยคาดว่าจะมีการลงทุนรวมกว่า 15.3 ล้านล้านบาท ภายในปี 2035 เพื่อผลักดันการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ
มาตรการเหล่านี้อาจกลายเป็นต้นทุนใหม่สำหรับธุรกิจบางกลุ่ม แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นโอกาสให้ธุรกิจที่ปรับตัวเร็วสามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก ซึ่งธนาคารเองก็ต้องปรับบทบาท จาก “ผู้ให้สินเชื่อ” สู่ “กลไกการเปลี่ยนผ่าน” เพื่อช่วยลูกค้าลดความเสี่ยงและเปลี่ยนผ่านไปด้วยกัน
กสิกรไทย จากผู้ให้สินเชื่อสู่กลไกการเปลี่ยนผ่าน
ในมุมมองของธนาคาร การเปลี่ยนแปลงด้านภูมิอากาศไม่ใช่เพียงวาระด้านสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่คือความเสี่ยง ที่ส่งผลต่อธุรกิจในวงกว้าง ไม่ว่าจะเป็น ความเสี่ยงทางกายภาพ หรือความเสี่ยงจากการเปลี่ยนผ่านที่มาจากกฎเกณฑ์ใหม่ๆ ทั้งในระดับประเทศและระดับโลก ดังนั้น การบริหารจัดการความเสี่ยงด้าน Climate Change จึงไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นสิ่งที่ต้องทำ ธนาคารกสิกรไทยได้ตั้งเป้าอย่างจริงจังในการเป็นธนาคาร Net Zero ผ่านคำมั่น 3 ระดับ ได้แก่
สุดท้ายแล้ว ธนาคารเชื่อว่าความยั่งยืน คือกลยุทธ์ทางธุรกิจที่ช่วยลดต้นทุน เพิ่มโอกาส และเปิดประตูสู่ตลาดใหม่ ซึ่งขึ้นอยู่กับธุรกิจนั้นๆ จะเลือกเดินเร็วเดินช้า โดยถ้าเลือกเดินเร็วธนาคารก็มีนโยบายที่จะบริการให้สามารถเดินไปได้เร็วได้
เริ่มต้นที่ “รู้ตัวเอง” วางรากฐานความยั่งยืนด้วยการวัดคาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กร
“การเปลี่ยนผ่านธุรกิจสู่ความยั่งยืนจะเกิดขึ้นได้จริง ก็ต่อเมื่อองค์กรรู้ว่าตนเองกำลังปล่อยคาร์บอนฟุตพริ้นท์จากกิจกรรมใด และในปริมาณเท่าใด” คือแนวคิดสำคัญจาก วิชิดา สังขนฤบดี Head of Business Development บริษัท KCLIMATE 1.5 ซึ่งเน้นย้ำว่า การรู้ “จุดปล่อยหลัก” จะช่วยให้องค์กรวางแผนจัดการได้ตรงจุด คุ้มค่า และเกิดประสิทธิภาพสูงสุด
การวัดคาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กร แบ่งออกเป็น 3 ขอบเขต
ตัวอย่างเช่น หากธนาคารปล่อยสินเชื่อให้ธุรกิจที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจก นั่นคือ Scope 3 ของธนาคารเองด้วย
สำหรับขั้นตอนการวัดคาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กรมี 5 ขั้นตอน ได้แก่ 1. เก็บข้อมูลกิจกรรมที่ปล่อยก๊าซ 2. จัดหมวดหมู่ตาม Scope 3. เลือก Emission Factor ซึ่งคือค่าที่ใช้คำนวณปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมหนึ่งๆ ที่เหมาะสม 4. คำนวณคาร์บอนเทียบเท่า (CO₂e) 5. จัดทำรายงานตามมาตรฐาน เช่น TGO หรือ ISO
อย่างไรก็ตาม KClimate 1.5 มี แพลตฟอร์มที่ได้รับการรับรองจากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (TGO) ที่ช่วยให้องค์กรสามารถกรอกข้อมูลกิจกรรมและระบบจะช่วยคำนวณ Emission Factor ให้อัตโนมัติ พร้อมแปลงเป็นรายงานได้ทันทีโดยไม่ต้องจัดทำเอง
วิชิดาทิ้งท้ายว่า “การเปลี่ยนผ่านสู่ธุรกิจยั่งยืน ต้องเริ่มจากการรู้ว่าอะไรคือสาเหตุหลักของการปล่อยก๊าซในองค์กรของเรา” การเลือกจัดการจุดสำคัญก่อน ย่อมสร้างผลลัพธ์ที่จับต้องได้ และนำไปสู่ความยั่งยืนที่แท้จริง