ธุรกิจในวันนี้ไม่ต่างจากสนามทดสอบขนาดใหญ่ ที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน และความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว ผู้นำไม่ได้ถูกทดสอบเพียงความสามารถในการแก้ปัญหา แต่ยังถูกทดสอบด้วยวิสัยทัศน์ ความยืดหยุ่น และความพร้อมในการสร้างอนาคต
K SME CARE โดยธนาคารกสิกรไทย จึงเปิดเวทีสัมมนา Leading with Vision : How to Build Resilience and Future Ready โดยมีวิทยากรมากความสามารถ คุณรวิศ หาญอุตสาหะ เพื่อถ่ายทอดภาวะผู้นำที่สามารถนำพาองค์กรให้รอดและเติบโตได้ในสถานการณ์วิกฤต รวมถึงทำให้องค์กรพร้อมรับความเปลี่ยนแปลงในอนาคต
ณรวิศเริ่มต้นการสัมมนาด้วยการพูดถึงคำว่า “Challenge” ว่าไม่ใช่แค่ปัญหาที่ต้องแก้ไข แต่คือบททดสอบทัศนคติของผู้นำ เขาเปรียบเทียบได้ชัดเจนกับโลกของสัตว์ป่า นั่นคือ กวางคือผู้ถูกล่า เต็มไปด้วยความเครียด คอยถามว่า “ทำไมสิ่งนี้เกิดขึ้นกับฉัน” และมักโฟกัสสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ ขณะที่ สิงโต มองความเครียดเป็นความตื่นเต้นของการไล่ล่า คำถามคือ “จะทำยังไงถึงจะได้มา” นี่คือ Survivor Mentality ที่มองหาทางให้อยู่รอด
เขาชี้ว่า หากองค์กรเต็มไปด้วยกวาง คำตอบมักเป็น “ทำไม่ได้หรอก” ซึ่งปิดกั้นทุกความเป็นไปได้ แต่ถ้าเต็มไปด้วยสิงโต คำพูดจะเปลี่ยนเป็น “ทำได้ ถ้ามี…” ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการหาทางออกและสร้างโอกาสใหม่ๆ
“Mindset คือจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุด เพราะมันจะกำหนดอนาคตองค์กรไปอีกสิบปี”
คุณรวิศอธิบายไว้อย่างน่าสนใจว่า หากธุรกิจของเราอยู่ในกระแส Mega Trends ก็จะ “รอด” ได้ง่ายกว่า เพราะโลกกำลังพาเราไปในทิศทางนั้นอยู่แล้ว แต่หากเลือกทำธุรกิจที่ไม่สอดคล้องกับกระแสใหญ่ของโลก เราจะต้อง “เก่งมาก” ถึงจะยืนหยัดได้
เขายกตัวอย่าง “วงจรประวัติศาสตร์ทุก 80 ปี” ที่สะท้อนว่าความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ไม่เคยห่างหายไปจากโลก
“ถ้าย้อนกลับไป 2,000 ปี จะเห็นรอบเวลา 80 ปีที่มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้น เช่น ปี 1945 สงครามโลกครั้งที่สองยุติ โลกเปลี่ยนโครงสร้างครั้งใหญ่ สหรัฐฯ ขึ้นมาเป็นมหาอำนาจ ตั้งกฎกติกาโลก สร้าง UN, IMF, WTO และตอนนี้นักเศรษฐศาสตร์หลายคนก็บอกว่าวงจร 80 ปี กำลังจะเกิดอีกครั้ง”
คุณรวิศเน้นว่า 10 ปีจากนี้จะเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญ ที่จะวางรากฐานไปอีก 70 ปีข้างหน้า ดังนั้น ผู้ที่เลือกเดินบนเส้นทางที่ “ถูกที่ ถูกเวลา ถูกอุตสาหกรรม” ย่อมมีความได้เปรียบ
และนี่คือ 4 Mega Trends ที่เขาชี้ว่าธุรกิจต้องจับตามอง
คนรุ่นใหม่เกิดน้อยลง แต่ผู้สูงวัยกลับยืนยาวขึ้น เทคโนโลยีการแพทย์กำลังนำเราเข้าสู่ยุค Longevity หรือการมีอายุยืนยาวอย่างมีคุณภาพ ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุ ทั้งสุขภาพ การดูแล บริการผู้ช่วย ไปจนถึงเทคโนโลยีเซ็นเซอร์ จึงกลายเป็นตลาดที่มีมูลค่ามหาศาล
ความยั่งยืนไม่ใช่เพียงการทำตามกฎหมายอีกต่อไป แต่กลายเป็นกลยุทธ์ธุรกิจ
“ตัวอย่างที่ชัดคือ Patagonia เมื่อพบว่าสินค้าหลักคือตัวตอกยึดหน้าผาทำลายธรรมชาติ ก็ตัดสินใจเลิกขายทันที ทั้งที่สินค้านี้ทำรายได้ถึง 70% และสิ่งนั้นเองกลับสร้างสาวกที่ภักดีต่อแบรนด์ขึ้นมามากมาย”
มนุษย์ชอบอวดอยู่เสมอ แต่ในอนาคตสิ่งที่กำลังอวดกันไม่ใช่รถหรูหรือกระเป๋าแบรนด์เนม หากแต่คือ สุขภาพและความอ่อนเยาว์
“วันนี้เรามีเครื่องมือวัดทุกอย่าง ตั้งแต่ VO2 Max, Biological Age จนถึงการเปรียบเทียบอายุจริงกับอายุร่างกาย คนจะเริ่มโพสต์อวดว่าอายุน้อยกว่าอายุจริง 7-10 ปี และนี่จะกลายเป็นเทรนด์ใหญ่”
“นี่คือครั้งแรกที่มนุษย์สร้างสิ่งที่ฉลาดกว่าเรา เราไม่รู้เลยว่ามันจะจบที่ไหน แต่โลกจะไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไป”
AI กำลังทำได้ตั้งแต่สรุปข้อมูล วิเคราะห์ ไปจนถึงสร้างสื่อทุกประเภท แต่ก็ยังมีหลายมิติที่มนุษย์เท่านั้นทำได้ เช่น การเล่าเรื่องเพื่อสร้างแรงบันดาลใจ ความไว้วางใจ ศิลปะ การใช้สัญชาตญาณ และการสร้างสายสัมพันธ์ทางอารมณ์
คุณรวิศหยิบกรณีศึกษาของสองแบรนด์ระดับโลกอย่าง Blackberry และ LEGO มาถอดบทเรียนให้เห็นชัดว่า การยึดติดกับความสำเร็จเดิมอาจกลายเป็นจุดอ่อนขององค์กร โดยการอ้างถึงหนังสือ What Got You Here Won’t Get You There ของ มาร์แชล โกลด์สมิธ (Marshall Goldsmith) “สิ่งที่พาคุณมาถึงตรงนี้ อาจไม่ใช่สิ่งที่จะพาคุณไปสู่จุดต่อไปได้” และ Blackberry คือกรณีตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด
ในอดีต Blackberry เคยครองตลาดสมาร์ตโฟน ลูกค้าหลงรักแป้นพิมพ์ที่ใช้ง่ายจนบริษัทวิจัยทุกอย่างโดยยึดติดกับจุดแข็งนี้ กระทั่งปี 2007 iPhone เปิดตัวพร้อมจอสัมผัส ผู้บริหาร Blackberry กลับมองว่าเป็นเพียงของเล่น ผลคือไม่กี่ปีต่อมา ธุรกิจแทบหายไปจากตลาด เพราะขาดการปรับตัวต่อความเปลี่ยนแปลง
คุณรวิศเชื่อมโยงกรณีนี้เข้ากับตัวอย่างง่ายๆ ในชีวิตประจำวันว่า “เวลาลูกค้าหยิบลิปสติก เขาไม่ได้ซื้อแท่งลิปสติก แต่ซื้อ ‘สีบนปาก’ ถ้าคิดแค่ว่าเราขายลิปสติก วันหนึ่งเมื่อมีเทคโนโลยีใหม่ที่ให้สีบนปากได้โดยไม่ต้องพึ่งลิปสติก ธุรกิจเราก็จบลงทันที”
ด้าน LEGO แม้ก่อตั้งมากว่า 100 ปี ก็เคยเผชิญวิกฤตจากการขยายธุรกิจจน SKU (Stock Keeping Unit) มากเกิน ซัพพลายเชนสับสน และยอดขายตก แต่จุดเปลี่ยนมาถึงเมื่อ CEO คนใหม่เข้ามาบริหาร แล้วตัด SKU ครึ่งหนึ่ง กลับไปโฟกัสที่แก่นธุรกิจ “System of Play” และต่อยอดกลุ่มแฟนผู้ใหญ่ เช่น เซต “ดอกไม้เลโก้” ที่ขายดี ผลลัพธ์คือ LEGO ฟื้นตัวและเติบโตอย่างยั่งยืน มีกำไรต่อเนื่องและรายได้เฉลี่ยโต 13% ต่อปีนานกว่าสิบปี
สิ่งที่ LEGO ทำให้เราเห็นคือความคิดสร้างสรรค์มีได้ แต่ต้องอยู่ในขอบเขตที่สอดคล้องกับ Core Value ขององค์กร การกล้าลดทอนสิ่งที่ไม่เวิร์กออกไป คือการสร้างโอกาสใหม่ให้สิ่งที่ใช่เติบโต
ช่วงโควิด-19 คำว่า Resilience หรือ “ความยืดหยุ่นและการฟื้นตัว” กลายเป็นทักษะที่ชี้ชะตาว่าองค์กรจะรอดหรือร่วง คุณรวิศอธิบายว่า Resilience ไม่ใช่แค่การทนให้ผ่านไป แต่คือการฟื้นตัวเร็ว (Recovery) การปรับตัวได้ไว (Adaptability) และการเติบโตจากวิกฤต (Growth) โดยสะท้อนผ่านคุณสมบัติของผู้นำ 3 ด้านสำคัญ
กรณี Airbnb ที่ได้รับผลกระทบหนักในช่วงโควิดจนต้องเลิกจ้างถึง 25% แต่กลับสร้างภาพลักษณ์เชิงบวกด้วยการให้พนักงานที่ถูกเลิกจ้างเก็บคอมพิวเตอร์ไว้ได้ ขยายสิทธิ์ประกันสุขภาพ และสร้างเครือข่าย Referral จากพนักงานที่อยู่ให้ช่วยหางานใหม่ ผลลัพธ์คืออดีตพนักงานจำนวนมากได้งานต่อในเวลาอันรวดเร็ว และองค์กรได้รับการยกย่องด้านมนุษยธรรม
Netflix มีวัฒนธรรมองค์กรสุดโต่งตามชื่อหนังสือ No Rules Rules ไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัว นอกจากหลักการเดียวคือ “ทำในสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อ Netflix” วัฒนธรรมนี้ช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่ทำให้กล้าตัดสินใจเร็วบนความไม่แน่นอน
คุณรวิศยกตัวอย่าง กรณี ไทลินอล ปี 1982 เมื่อเกิดเหตุผู้บริโภคเสียชีวิตจากการถูกปนเปื้อนสารพิษในขวดยา บริษัทแม่ Johnson & Johnson ตัดสินใจเรียกคืนสินค้าทั้งหมดทันที สร้างความเสียหายกว่า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
สิ่งที่น่าสนใจคือ พวกเขาไม่ได้หยุดแค่การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่ยังคิดต่อว่าจะป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีก จึงเกิดนวัตกรรม “ฝาปิดยาแบบ Safety Cap” ที่กลายเป็นมาตรฐานใหม่ของโลกในเวลาต่อมา ภายในเพียง 1 ปี ไทลินอลก็ค่อยๆ กู้มาร์เก็ตแชร์กลับมาได้ถึง 30%
ในช่วงท้ายการบรรยาย คุณรวิศ ได้พูดถึง Future-ready Practices หรือแนวทางที่ช่วยให้ผู้นำและองค์กรพร้อมรับการเปลี่ยนแปลง โดยมี 3 หลักปฏิบัติสำคัญ
การทำงานเพื่อเงินเพียงอย่างเดียวอาจทำให้หมดไฟ แต่เมื่อเชื่อมโยงงานกับ “ความหมาย” ผลลัพธ์จะต่างออกไป
คุณรวิศหยิบงานวิจัยของ อดัม แกรนต์ (Adam Grant) มาเล่าเรื่องแผนกที่หาเงินบริจาคของมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีอัตราการลาออกสูงที่สุดในมหาวิทยาลัย โดยอดัมพาพวกเขาไปพบหมอซึ่งเติบโตจากย่านยากจน ได้รับทุนการศึกษา และกลับมาดูแลชุมชนของตัวเอง เด็กหลายคนในชุมชนถูกชักชวนให้ใช้ทุนการศึกษาเปลี่ยนชีวิตและกลับมาดูแลชุมชน จนทำให้ชุมชนนี้เปลี่ยนไป ซึ่งทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากเงินบริจาค ทำให้พนักงานกลับมาทำงานด้วยใจฮึกเหิม และเป็นแผนกที่มีอัตราการลาออกน้อยที่สุด
ชัยชนะเล็กๆ ช่วยสร้างพลังใจและลดความเหนื่อยล้า Quick Win ไม่จำเป็นต้องยิ่งใหญ่ แต่คือการทำให้ทีมเห็นความคืบหน้าต่อเนื่อง มีส่วนร่วม และร่วมฉลองไปด้วยกัน แนวคิดนี้ใกล้เคียงกับไคเซ็นของญี่ปุ่น ที่เชื่อว่าทุกสิ่งเล็กๆ สามารถปรับปรุงให้ดีขึ้นได้เสมอ
องค์กรที่เติบโตได้จริง ต้องไม่หยุดเรียนรู้ ทั้งการอัปสกิลด้าน Hard Skill และ Soft Skill อย่างการสื่อสารและการจัดการตนเอง โดยเฉพาะ Meta Skill คือทัศนคติที่เปิดรับการเปลี่ยนแปลง คุณรวิศอ้างถึงหนังสือ Think Again ของ อดัม แกรนต์ ที่ชี้ว่าเราควรคิดแบบนักวิทยาศาสตร์ นั่นคือทดลอง ทบทวน และเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง
ทั้งสามหลักปฏิบัติคือรากฐานที่ทำให้องค์กรไม่เพียงแค่อยู่รอด แต่ยังพร้อมสร้างอนาคตที่เติบโตได้ในโลกที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา