SME ไทยจะพลิกโฉมอย่างไรให้รอด?
ถอดรหัสอนาคตธุรกิจ ในวันที่ AI ครองโลก

เสริมแกร่งธุรกิจแห่งปี โดยนักธุรกิจชั้นนำระดับประเทศ
โดย K SME CARE ธนาคารกสิกรไทย
คุณเรืองโรจน์ พูนผล ประธานกลุ่มบริษัท กสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป (KBTG)
ดร.ทัดพงศ์ พงศ์ถาวรกมล Managing Director กลุ่มบริษัท กสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป (KBTG)
วันที่ 6 ส.ค. 2568

ในยุคที่ “ความเร็ว” ของเทคโนโลยีไม่ได้แค่ทำให้โลกหมุนไวขึ้น แต่ทำให้ภาคธุรกิจกำลังเผชิญกับโจทย์ใหญ่ที่ไม่เคยมีมาก่อน นั่นคือการเรียนรู้และปรับตัวในโลกของ AI หรือปัญญาประดิษฐ์ ที่ไม่ได้เป็นแค่เครื่องมือ แต่กลายเป็น “เพื่อนร่วมทีม” ที่ใครไม่มีหรือใช้ไม่เป็น อาจถูกคู่แข่งแซง จนหลุดจากเกมธุรกิจ


เพื่อให้ผู้ประกอบการพร้อมรับมือกับคลื่นเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ธนาคารกสิกรไทยจึงจัดเวที K SME CARE เปิดพื้นที่เรียนรู้ แลกเปลี่ยน และสร้างแรงบันดาลใจจากสองกัปตันแห่งโลกเทคโนโลยี เรืองโรจน์ พูนผล ประธานกลุ่มบริษัท กสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป (KBTG) และ ดร.ทัดพงศ์ พงศ์ถาวรกมล Managing Director, KBTG ผู้จะมาแชร์มุมมองและกรณีศึกษา AI ที่ SME ต้องรู้ เพื่อไม่เพียงแค่โต้คลื่นให้ได้ แต่ยังขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนท่ามกลางพายุดิจิทัล

คุณเรืองโรจน์ พูนผล คุณเรืองโรจน์ พูนผล

จากเครื่องมือสู่ “พาร์ตเนอร์” ธุรกิจ

ในอดีตเทคโนโลยีมักถูกมองเป็นเครื่องมือช่วยเพิ่มประสิทธิภาพหรือลดต้นทุน แต่วันนี้ AI กำลังกลายเป็น “พาร์ตเนอร์” ที่ขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจ SME อย่างแท้จริง เรืองโรจน์ระบุว่า AI ไม่ใช่แค่ซอฟต์แวร์วิเคราะห์ข้อมูล แต่คือ พลังขับเคลื่อนธุรกิจที่จะช่วยให้ SME สามารถแข่งขันในโลกธุรกิจอนาคตได้

เพื่อให้เห็นภาพชัด เรืองโรจน์ยกตัวอย่างว่าที่ KBTG ได้ใช้ AI ช่วยนักพัฒนาซอฟต์แวร์เขียนโค้ดได้ถึง 10 ล้านบรรทัดในปีที่ผ่านมา

“AI เหมือนเด็กจูเนียร์ที่ทำงานรวดเร็ว แม่นยำ ไม่เคยบ่น และไม่เคยหยุดพัก” ดังนั้น SME ไม่ควรมอง AI เป็นเพียงเครื่องมือเสริม แต่ต้องพัฒนาให้ตนเองเป็น “AI Native Business Owner” ที่เข้าใจและผนวก AI ในทุกขั้นตอนของการทำงาน จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์และวัฒนธรรมองค์กร

ก้าวสู่ยุค AI Native และ Best Human in the Loop ก้าวสู่ยุค AI Native และ Best Human in the Loop

ก้าวสู่ยุค AI Native และ Best Human in the Loop

แม้วันนี้ AI จะดูฉลาดมาก แต่สิ่งที่เราใช้อยู่ยังอยู่เพียงระดับ 3 หรือ Agentic Workflows เท่านั้น อนาคตเมื่อพัฒนาไปถึงระดับ 5 (Fully Autonomous Agents) มันจะทำหน้าที่เสมือนเพื่อนร่วมงานและผู้นำทางธุรกิจ ที่สามารถขับเคลื่อนองค์กรได้เกือบทุกด้าน

เรืองโรจน์ยกตัวอย่างจาก KBTG ที่มีพนักงาน 2,600 คน ในจำนวนนั้นเป็นนักพัฒนาซอฟต์แวร์กว่า 1,200 คน ดูแลระบบกว่า 500 ตัว รวมถึง K PLUS ที่มีลูกค้า 3 ล้านคน ปัจจุบัน AI ช่วยเขียนโค้ดไปแล้วกว่า 10 ล้านบรรทัด เปลี่ยนงานที่เคยใช้เวลาหลายวันให้เหลือเพียง 15 นาที นี่คือตัวอย่างจริงที่สะท้อนพลังของ AI

จากภาพนี้ชัดเจนว่า ผู้ประกอบการต้องรีบเรียนรู้วิธีคิดและทำงานแบบ AI Native เข้าใจจังหวะของ AI ว่าควรใช้อย่างไร และต้องเป็น “Best Human in the Loop” คือมนุษย์ที่ควบคุม ปรับแก้ และทำงานร่วมกับ AI อย่างใกล้ชิด

“AI วันนี้ยังไม่ฉลาดที่สุด แต่จะเก่งขึ้นทุกวัน จงทดลองใช้ เรียนรู้จากข้อผิดพลาด และพัฒนาเป็นผู้ใช้ AI ระดับสูง”

Autonomous Business องค์กรอัจฉริยะที่ไร้รอยต่อ

เรืองโรจน์อธิบายว่า ภายในปี 2030 โลกจะเข้าสู่ยุค Autonomous Business หรือธุรกิจอัตโนมัติเต็มรูปแบบ โดยหัวใจสำคัญคือ การก้าวเข้าสู่ยุค AI Agent ยุคที่ปัญญาประดิษฐ์สามารถคิด ตัดสินใจ และลงมือทำงานได้เองตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยแทบไม่ต้องมีมนุษย์สั่งการ

รถยนต์ที่สามารถขับกลับไปยังศูนย์บริการได้เองทันทีเมื่อตรวจพบว่าลูกค้ามีการค้างชำระ หรือโดรนที่สแกนและจัดการสินค้าภายในร้านได้อย่างแม่นยำโดยอัตโนมัติ

การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ใช่เรื่องไกลตัว เพราะในอนาคต AI Agent อาจกลายเป็น “ลูกค้า” ของคุณ และทำการซื้อขายกับ AI ของอีกธุรกิจหนึ่ง โดยมนุษย์เพียงตรวจสอบและอนุมัติขั้นสุดท้าย

“ทุกวันนี้คุณอาจใช้ AI แค่ช่วงวางแผนท่องเที่ยว แต่ต่อไปลองจินตนาการว่า AI สามารถจองตั๋วเดินทางให้คุณได้เอง โดยตรวจสอบตารางเวลาและงบประมาณอย่างอัตโนมัติ และรอให้คุณแค่เป็นคนอนุมัติจ่ายเงินแค่นั้น” เรืองโรจน์กล่าว

Trust Economy ปัจจัยความสำเร็จยุค AI

แม้เทคโนโลยีอัจฉริยะจะก้าวไกลเพียงใด เรืองโรจน์ย้ำว่า “ในโลกที่ทุกคนเข้าถึงข้อมูลได้ง่าย ความไว้วางใจ (Trust) กลับกลายเป็นของหายากที่สุด”

เขาเตือนว่า AI อาจสร้างข้อมูลปลอม หรือให้คำแนะนำผิดพลาดได้ ธุรกิจจึงต้องสร้างความเชื่อมั่นเป็นทุนสำคัญ “Trust Economy” จึงจะมาแทนที่ “Knowledge Economy” เพราะในยุคข้อมูลท่วมโลก คนจะเลือกซื้อจากแบรนด์ที่เขาเชื่อใจมากกว่าแบรนด์ที่ให้ข้อมูลมากที่สุด

ดร.ทัดพงศ์ พงศ์ถาวรกมล ดร.ทัดพงศ์ พงศ์ถาวรกมล

ขายดีขึ้น 3 เท่า ด้วย AI ที่เข้าใจลูกค้าจริงๆ

เมื่อความไว้วางใจถูกสร้างเป็นรากฐานแล้ว ขั้นต่อไปคือการใช้เทคโนโลยีมาขยายผล และนี่คือสิ่งที่ KBTG ได้พิสูจน์แล้วว่าทำได้จริง ดร.ทัดพงศ์เล่าว่า KBTG ได้นำระบบอัจฉริยะมาวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าเชิงลึก เพื่อเข้าใจพฤติกรรมและความต้องการแบบตัวต่อตัว

“เราไม่ได้ให้มันมาวิเคราะห์สินเชื่อ แต่ให้มันตัดสินใจว่า ‘ลูกค้าที่อนุมัติแล้ว’ ควรขายอะไร ให้ใคร เมื่อไหร่ ผ่านช่องทางไหน และด้วยข้อความแบบไหน” เขาอธิบาย “เมื่อก่อนเราใช้ Business Tool กับประสบการณ์ของคน วันนี้เราเอาข้อมูลมหาศาลป้อนให้ระบบเรียนรู้ว่าเคสไหนเวิร์ก เคสไหนไม่เวิร์ก แล้วให้มันแนะนำ ทีมขายจะทำตามหรือปรับก็ได้”

ผลลัพธ์ชัดเจน การขายที่ทำตามคำแนะนำของระบบทำยอดได้ดีกว่าวิธีเดิมถึง 3 เท่า นี่คือการพิสูจน์ว่า เมื่อผสมความเข้าใจเชิงมนุษย์กับการคาดการณ์อันแม่นยำของเทคโนโลยี ผลลัพธ์ย่อมก้าวกระโดด

การเปลี่ยนแปลงนี้ยังสะท้อนภาพอนาคตของคำว่า “บริษัท” ที่กำลังเปลี่ยนไป ดร.ทัดพงศ์เสริมว่า ในต่างประเทศเริ่มพูดถึง Single Person Unicorn Company บริษัทที่มีเจ้าของเพียงคนเดียว และพนักงานทั้งหมดคือบอต ตั้งแต่การออกแบบ ผลิต ไปจนถึงทำคอนเทนต์ ทำให้คนเพียงหนึ่งคนสามารถสร้างธุรกิจระดับพันล้านได้

“AI จะไม่ใช่ Tomorrow แต่มันคือ Today” ดร.ทัดพงศ์ย้ำ

เริ่มยังไงให้ AI “เวิร์ก” จริง ไม่ใช่แค่แฟชั่น เริ่มยังไงให้ AI “เวิร์ก” จริง ไม่ใช่แค่แฟชั่น

เริ่มยังไงให้ AI “เวิร์ก” จริง ไม่ใช่แค่แฟชั่น

แม้ AI จะดูน่าสนใจ แต่ SME หลายรายยังไม่รู้จะเริ่มอย่างไรให้สำเร็จ ดร.ทัดพงศ์แนะนำว่า จุดเริ่มต้นที่ดีคือ การตั้งเป้าหมายชัดเจนว่าจะใช้ AI แก้โจทย์ธุรกิจใด เช่น การบริการลูกค้า หรือการบริหารสต๊อก

“อย่าหวังทำทุกอย่างในครั้งเดียว ให้เริ่มจากจุดเล็ก ๆ ที่เห็นผลเร็วและวัดผลได้จริง”

ในมุมของการเตรียมโครงสร้างข้อมูลและทีมงาน เขาย้ำว่า SME ต้องสร้างทีมที่ผสมผสานความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีและธุรกิจ เพื่อให้ระบบ AI สามารถพัฒนาและปรับตัวได้ตามข้อมูลจริง

“ทำน้อยได้มาก ทำแล้วเสี่ยงน้อย แต่ได้ผลจริงที่สามารถวัดความสำเร็จเป็นรูปธรรมได้” ดร.ทัดพงศ์กล่าวทิ้งท้าย

Sustainability Twist Sustainability Twist