อยากรวยก่อนแก่ สร้างได้อย่างไร
พามาดูตัวอย่างญี่ปุ่น** ที่มีประชากรผู้สูงอายุสูงที่สุดในโลก (ประมาณ 30% ของประชากรทั้งหมด) จะมีมาตรการในการดูแลผู้สูงอายุ เช่น การส่งเสริมการจ้างงาน เงินเดือนเริ่มต้น 17,000 บาท, ประกันดูแลสุขภาพระยะยาว, สร้างศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ, ได้บำนาญเริ่มต้นที่ 15,841 ถึง 42,239 บาท
กลับมาดูในไทย ปัจจุบันมีประชากรผู้สูงอายุราว 18.3% ของประชากรทั้งหมด จะมีมาตรการในการดูแลผู้สูงอายุ เช่น ประกันดูแลสุขภาพระยะยาว ในรูปแบบบัตรทอง (สปสช.) ประกันสังคม บำเหน็จ/บำนาญจากประกันสังคม (ให้สิทธิเลือกระหว่างดูแลสุขภาพกับรายได้หลังเกษียณ) เริ่มต้น 3,000 บาทต่อเดือน (ตามระยะเวลาสมทบและอัตราเงินเดือนที่ส่งสมทบ 60 เดือนสุดท้าย) แต่ก็อาจจะไม่เพียงพอ ถ้าอยากรวยก่อนแก่ สร้างได้ด้วย
1.ประเมินค่ารักษาพยาบาล เพื่อบริหารค่าดูแลสุขภาพหลังหยุดทำงานตามคุณภาพการรักษาพยาบาล โดยเริ่มความสามารถในการชำระเบี้ย และความครอบคลุมในการรักษาพยาบาล เช่น
ประกันสุขภาพแบบเหมาจ่าย ที่มีวงเงินสูง เหมาะสำหรับผู้ที่เน้นความคุ้มครองครอบคลุม เช่น ประกันสุขภาพ Elite Health ที่มีวงเงินคุ้มครองเหมาจ่ายค่ารักษาพยาบาล วงเงินค่ารักษา 20-100 ล้านบาทต่อปี(ให้เลือกได้ 4 แผน)
ประกันสุขภาพแบบเหมาจ่าย วงเงินปานกลาง และเลือกได้ว่าจะคุ้มครองตั้งแต่บาทแรก หรือ คุ้มครองส่วนเกิน เหมาะสำหรับผู้ที่มีรายได้ประจำ ที่มีสวัสดิการของนายจ้างอยู่แล้ว เช่น ประกันสุขภาพ Delight Health เป็นประกันสุขภาพแบบเหมาจ่ายตามจริง ไม่เกิน 5ล้านบาทต่อครั้ง ต่อการรักษาตัวครั้งใดครั้งหนึ่ง (ไม่จำกัดจำนวนครั้งต่อปี) ต้องการคุ้มครองส่วนเกิน 30,000 บาท หรือ 100,000 บาท
การทำประกันสุขภาพ ทำในวันที่ยังแข็งแรง ได้รับความคุ้มครองโรคภัยที่เกิดขึ้น ดีกว่า ไปทำในวันที่มีโรคประจำตัวแล้ว อยากทำก็จะมีทั้งเพิ่มเบี้ยประกัน ไม่คุ้มครองโรคที่เคยเป็นมาก่อน หรือไม่รับประกันเลยก็ได้
2. ประเมินเงินใช้หลังเกษียณ การพึ่งพาสวัสดิการของรัฐเป็นทางเลือกแรก หากมีทางเลือกที่เก็บได้ด้วยตัวเองจะกำหนดชีวิตหลังเกษียณได้ด้วยตนเอง ยกตัวอย่างเช่น ต้องการใช้เงินหลังเกษียณ เดือนละ 20,000 บาท จะอยู่ใช้เงินไปอีก 25 ปี หลังเกษียณ ดังนั้น จะต้องเตรียมเงิน 6.0 ล้านบาท (20,000*25*12) (ไม่รวมเงินเฟ้อ) แบ่งเป็นทางเลือก 2 รูปแบบ
2.1 รูปแบบใช้สิทธิลดหย่อนภาษีด้วย เหมาะสำหรับผู้ที่มีรายได้ประจำ หรือ ผู้ประกอบการที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา แนะนำให้เริ่มต้นออมในผลิตภัณฑ์การออมการลงทุนที่นำค่าซื้อไปลดหย่อนภาษีได้ เช่น กองทุน SSF, RMF ประกันชีวิต ประกันแบบบำนาญ เพื่อเป็นทั้งการออมและประหยัดภาษีไปพร้อมๆกัน ยกตัวอย่างเช่น เริ่มต้นออมตอนอายุ 40 ปี และจะเกษียณเมื่ออายุ 60 ปี (มีเวลาออม 20 ปี) ในขณะที่มีรายได้ทั้งปี 1,000,000 บาท (เฉลี่ย 83,333.33 บาทต่อเดือน) เสียภาษี 15% หากออมใน SSF RMF กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (30% ของรายได้) 300,000 บาท เป็นเวลา 20 ปี คุณจะมีเงินออมอย่างน้อย 6,000,000 บาทแล้ว แต่จะมีตัวช่วยชดเชยเงินเฟ้ออีกจาก เงินคืนภาษีที่ได้แต่ละปีอีก (เฉพาะปีแรก ได้คืนจากการออม 45,000 บาท จาก 15%*300,000 บาท) ถ้านำเงินคืนภาษีมาลงทุนต่อ จะมีโอกาสได้เงินเพิ่มขึ้นอีก
2.2 รูปแบบออมทั่วๆไป เหมาะสำหรับผู้ที่มีรายได้ไม่ถึงเกณฑ์เสียภาษี จะออมในรูปแบบ เงินฝาก กองทุนรวม หุ้นโดยตรง ให้มีสัดส่วนเหมาะกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ก็จะมีโอกาสถึงเป้าหมายได้เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม อยากรวยก่อนแก่ สร้างแผนการเงินได้ สิ่งสำคัญ ไม่ได้อยู่ที่ เงินเก็บหรือเงินต้นที่จะลงทุน, ผลตอบแทน หากแต่อยู่ที่ระยะเวลาในการเก็บออมเงินมากกว่า เพราะระยะเวลาในการเก็บเงินที่ไม่เท่ากัน จะมีผลทำให้บรรลุเป้าหมายได้หรือไม่ ดังนั้น เริ่มต้นแต่วันนี้ อาจจะไม่ต้องใช้เงินต้นมาก แค่ใช้ความมีวินัย ก็มีโอกาสพิชิตเป้าหมายใหญ่ได้
Disclaimer: “ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน”
ขอบคุณข้อมูลจาก :
https://www.healthdata.org/thailand
สำรวจประชากรผู้สูงอายุในประเทศไทย ปี 2557,
สำนักงานสถิติแห่งชาติ
เงินทองต้องวางแผน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (www.set.or.th)
*กรมกิจการผู้สูงอายุ กระทรวง พม. ข้อมูล ณ มกราคม 2565
**https://thematter.co/social/social-welfare-in-other-country/134828