-
KAsset จับมือ J.P. Morgan จัดงาน Know The Markets Summit 2025 ใน Theme “Core Stability Amidst Market Volatility” ชูโรงกองทุนผสมเรือธงอย่าง K-WealthPLUS Series ที่ช่วยลดความเสี่ยงและผันผวนน้อยกว่าหุ้นโลก
-
ภาพรวมปี 2026 ยังเน้น Concept “Stay Invested & Stay Diversified” อย่าจับจังหวะตลาดแต่ให้กระจายการลงทุน ผ่านกองทุนหุ้นโลกอย่าง K-GSELECT และ K-GPIN กองทุนหุ้นที่ช่วยลดความผันผวนพอร์ต พร้อมนำเสนอ Theme ลงทุน ที่น่าสนใจ
-
Multi Asset 2.0 — KAsset และ JPMAM ได้มีแนวคิดเพิ่มสินทรัพย์ทางเลือกอย่าง Private Credit, Private Equity, Real Assets และอสังหาฯ เข้ามาในพอร์ต เพื่อ สร้างผลตอบแทนที่ดีขึ้นในระยะยาว
งาน Know The Markets Summit 2025 ทางบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกสิกรไทย (K Asset) ได้ร่วมกับตัวแทนพาร์ทเนอร์ระดับโลกอย่าง JP Morgan Asset Management โดยในงานปีนี้มากับ Theme “Core Stability Amidst Market Volatility” ในงานมีอะไรน่าสนใจบ้าง K WEALTH สรุปมาให้แล้ว
Session 1: Core Stability Amidst Market Volatility
แก่นของความมั่นคงในการลงทุนของความร่วมมือระหว่าง กสิกรไทย (KAsset) และ J.P. Morgan Asset Management (JPMAM)
-
Local Expertise x Global Firm: บลจ. กสิกรไทย (KAsset) ซึ่งเป็นผู้จัดการกองทุนอันดับ 1 ในไทย ได้จับมือกับ J.P. Morgan Asset Management (JPMAM) ซึ่งเป็นบริษัทบริหารสินทรัพย์ระดับโลก 1 ใน 5 แห่ง ที่มีประสบการณ์กว่า 150 ปี บริหารจัดการกองทุนมากมาย เช่น กองทุนผสม K-WealthPLUS Series ซึ่งการจับมือกันระหว่าง KAsset และ JPMAM ทำให้นักลงทุนชาวไทยสามารถเข้าถึงทรัพยากรการวิเคราะห์เชิงลึก และ เครือข่ายผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนระดับโลกกว่า 1,300 คนของบริษัทจัดการกองทุนระดับโลก เพื่อนำมาใช้ในการบริหารความเสี่ยงและส่งมอบ solution การลงทุนที่มีมาตรฐานสากล พร้อมนำเสนอโอกาสการลงทุนที่หลากหลาย ทั้งในตลาดไทยและตลาดโลก

-
เครื่องมือพิเศษ (KCMA): KAsset และ JPMAM ใช้เครื่องมือที่เรียกว่า KCMA (KAsset Capital Market Assumptions) ซึ่งเป็นแบบจำลองที่ใช้ในการคาดการณ์ผลตอบแทนและความเสี่ยงของสินทรัพย์กว่า 100 ประเภท ในระยะยาวถึง 10-15 ปีข้างหน้า เพื่อกำหนดทิศทางการลงทุนที่เหมาะสม.
-
ผลงานติด Top : กองทุน K-WealthPLUS Series มีผลการดำเนินงานที่น่าพอใจ โดยกองทุนหลักหลายกอง (เช่น K-WPBALANCED, K-WPSPEEDUP, K-WPULTIMATE) สามารถทำผลตอบแทนได้ในระดับ "อันดับสูงสุด" (Top-quartile) เมื่อเทียบกับกองทุนประเภทเดียวกัน
-
ผันผวนน้อยกว่าหุ้นโลกและเพิ่มประสิทธิภาพของพอร์ตในภาพรวม: การบริหารพอร์ตโฟลิโอแบบผสมผสาน ช่วยให้พอร์ตมีความแข็งแกร่งและ ลดความเสี่ยงจากการขาดทุนสูงสุด (Drawdown) ได้ จากการมีตราสารหนี้ ที่มีความสัมพันธ์กับหุ้นต่ำ ทำให้ความผันผวนของพอร์ตน้อยกว่า เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นโลก (MSCI ACWI) รวมถึงการเพิ่มสินทรัพย์ทางเลือกเข้าไปในพอร์ต สามารถช่วยให้พอร์ตของกองทุนผสมอยู่ในตำแหน่งที่มีผลตอบแทนที่สูงขึ้นและความผันผวนต่ำกว่าหลายๆ ตลาดหุ้นตามภาพด้านล่าง

ที่มา: Bloomberg, Dow Jones, FactSet, MSCI, S&P, JPMAM, KAsset; Data as of Mar 31, 2025
Session 2: Top 10 Questions for 2026
คำถามที่ 1: เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเป็น Soft-Landing ในปีหน้าหรือไม่?
คำตอบ: ใช่ เพราะตัวเลขสำคัญของสหรัฐฯ เช่น การจ้างงาน การใช้จ่ายของผู้บริโภค และรายได้ส่วนบุคคล ยังคงแข็งแกร่งอยู่ในระดับที่ดี และยังเห็นบริษัท Hyperscaler ขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ อย่าง Amazon Microsoft หรือ Google Cloud ลงทุนด้วยเม็ดเงินจำนวนมากอยู่
คำถามที่ 2: ดอกเบี้ยลดลงทั้งที่ของแพง และหุ้นพุ่ง... ปี 2026 จะลดอีกไหม?
คำตอบ: ทาง KAsset และ JPMAM มองสหรัฐฯ ลดดอกเบี้ย 3 ครั้งในปี 2026 อย่างไรก็ตามคาดว่า Fed ยังต้องรักษาสมดุลระหว่างเศรษฐกิจ ที่มี AI เป็นปัจจัยหนุนการเติบโตหลัก และตลาดแรงงานที่มีแนวโน้มชะลอตัวลง ในขณะที่เงินเฟ้อยังยืนสูงอยู่
คำถามที่ 3: ความเสี่ยงของเศรษฐกิจสหรัฐฯ คืออะไร?
คำตอบ: 1) นโยบายกีดกันทางการค้า และการเมืองระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นปัจจัยกดดันที่ยังไม่จบ สหรัฐฯ ยังจำเป็นต้องนำเข้าสินค้าหลายประเภท เช่น ยา หรือเซมิคอนดักเตอร์จากประเทศอื่น ในสัดส่วนที่สูง การปล่อยให้ประเด็นระหว่างประเทศยืดเยื้อ ไม่ดีกับสหรัฐฯ ในระยะยาว 2) อัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูงนานกว่าปกติ ทำให้ต้นทุนทางการเงิน และหนี้สูงขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยกดดันเศรษฐกิจ เนื่องจากธุรกิจต้องแบกภาระต้นทุนที่สูงเป็นเวลานาน และ 3) หนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจส่งผลให้ต้นทุนกู้ยืมสูงขึ้น หรือจำกัดความสามารถของสหรัฐฯ เองในการจัดการวิกฤติเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า
คำถามที่ 4: ยุโรปกับญี่ปุ่น ใครดูดีกว่า
คำตอบ: กินกันไม่ลง
คำถามที่ 5: จีนจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ "ชุดใหญ่ไฟกระพริบ" หรือไม่?
คำตอบ: คาดว่าไม่น่าจะมีมาตรการกระตุ้นขนาดใหญ่ (Bazooka) รัฐบาลจีนยังคงใช้วิธีกระตุ้นเศรษฐกิจแบบค่อยเป็นค่อยไป และระมัดระวังมากกว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจในภาพรวมต้องใช้เวลา แต่มูลค่าหุ้นในหลายอุตสาหกรรมยังอยู่ในระดับที่ไม่แพง หากลงทุนยาว ตอนนี้เป็นโอกาสเหมาะในการสะสมจีน
คำถามที่ 6: หุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ แพงเกินไปหรือยัง?
คำตอบ: แม้จะมีบางบริษัทที่แพงแล้ว แต่ถ้าดูจากกำไรที่กำลังจะมา ภาพรวมตอบได้ว่ายังไม่แพงเกินไป บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ 10 อันดับแรก (Big Tech/AI) กำลังสร้างผลกำไรที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด การเติบโตนี้มีสัดส่วนใหญ่มากในตลาดรวม (คิดเป็น 80% ของกำไรตลาด และ 75% ของผลตอบแทนดัชนี S&P500) ทำให้ราคาหุ้นเมื่อเทียบกับกำไรในอนาคตดูสมเหตุสมผลอยู่ และยังห่างไกลกับคำว่าฟองสบู่แตก เพราะ 1) valuation ยังไม่สูงเท่า 2) บริษัทที่ลงทุนมีกำไรจับต้องได้ 3) AI Adoption Rate ยังต่ำ มีโอกาสเติบโตอีกมาก
คำถามที่ 7: เทคโนโลยีเอเชียจะตามทันเทคโนโลยีสหรัฐฯ ได้ไหม
คำตอบ: มีโอกาส และกำลังฟื้นตัว สัญญาณคือบริษัทเทคโนโลยีในเอเชียกำลังกลับมาลงทุนหนักในด้าน Hardware (อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์) และสัญญาณการฟื้นตัวของวงจรสินค้าคงคลังในไต้หวันและเกาหลีใต้กำลังดีขึ้น ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีของการเติบโตในอนาคต ดังนั้น Asia Tech น่าสนใจ
คำถามที่ 8: ตลาดหุ้นอินเดียที่ชะลอตัวลงในช่วงนี้... เกิดจากอะไรและแนวโน้มเป็นอย่างไร?
คำตอบ: ราคาขึ้นมาแพงเกินไปเมื่อเทียบกับผลกำไร (แพงกว่าเอเชียในภาพรวมถึง 43%) แม้ว่าการเติบโตของกำไรโดยรวมจะยังดีอยู่ แต่ราคาที่สูงมากทำให้ตลาดถูกกดดัน และยังมีปัจจัยความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างประเทศมากดดันเพิ่มเติม สำหรับแนวโน้มมีปัจจัยกดดันหลักคือความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์ หลังโดนสหรัฐฯ บังคับให้นำเข้าน้ำมันมากขึ้น และมาตรการ H1B Visa ที่กระทบกับแรงงานชาวอินเดียโดยตรง
คำถามที่ 9: ถ้าต้องเลือกระหว่างไทยกับเวียดนาม...
คำตอบ: เวียดนามน่าสนใจกว่าสำหรับการลงทุนระยะยาว จาก
- แนวโน้มเศรษฐกิจที่โตดีกว่า (GDP Q3 โต 8.2% มากกว่าของไทยที่ KR ประเมินว่า GDP ปีนี้จะโตเพียง 1.8%)
- การเติบโตกำไรปี 2026 ของเวียดนามอยู่ที่ 18% เทียบกับของไทยที่คาดว่าจะโตเพียง 7%
แต่ในระยะสั้นไทยดูมีปัจจัยหนุนมากกว่า ทั้งความเสี่ยงการเมืองที่ลดลงหลังได้รัฐบาลใหม่ที่มาพร้อมมาตรการกระตุ้นอย่างคนละครึ่งพลัส และการลดดอกเบี้ยของกนง. แนะลงหุ้นปันผล เช่นกลุ่มธนาคาร อสังหาฯ พลังงาน ในขณะที่เวียดนามระยะสั้นมีโอกาสที่ตลาดจะปรับฐานหลังปรับขึ้นมาร้อนแรง
คำถามสุดท้าย: แล้วทั้งหมดนี้ต้องการจะบอกอะไร?
คำตอบ: อยากบอก 2 คำ + แนะนำ 2 ผู้เล่น (ที่จะช่วยให้คุณผ่านความผันผวนไปได้ด้วยดี)
อยากบอก 2 คำ
-
Stay Invested: ไม่แนะนำให้จับจังหวะตลาด สถิติบ่งชี้ว่าการลงทุนเต็มปี มักให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการซื้อๆ ขายๆ ระหว่างปี
-
Stay Diversified: แนะนำให้กระจายการลงทุนมายังตราสารหนี้ โดยเฉพาะตราสารหนี้โลก/เอเชีย เพื่อเพิ่มผลตอบแทนและลดความผันผวนของพอร์ต
แนะนำ 2 ผู้เล่น
-
K-GSELECT: กองทุนหุ้นโลกที่เน้นลงทุนหุ้นที่มีคุณภาพสูงกว่าดัชนีชี้วัดอย่างมาก มีการกระจายการลงทุนในหลายอุตสาหกรรมที่จะช่วยสร้างการเติบโตที่มั่นคงให้กับพอร์ต
-
K-GPIN: กองทุนหุ้นที่มุ่งเน้นลดความผันผวนของพอร์ตในภาพรวม ผ่านการลงทุนหุ้นกลุ่ม Defensive และมุ่งเน้นการสร้างกระแสเงินสดที่มั่นคงผ่านกลยุทธ์ Covered Call
Session 3: Multi Asset 2.0
การลงทุนในยุคใหม่ หรือที่เรียกว่า "Multi Asset 2.0" คือการเพิ่มเครื่องมือการลงทุนให้หลากหลายมากขึ้น เพื่อให้พอร์ตแข็งแรงและลดความผันผวน
โดยทาง KAsset และ JPMAM ได้เพิ่มสินทรัพย์ทางเลือก (Alternatives) เข้ามา 4 ประเภท:
-
Private Credit (การปล่อยกู้เอกชน): เป็นการให้สินเชื่อโดยตรงแก่บริษัทที่ไม่ใช่ธนาคาร ซึ่งมักให้ ผลตอบแทน (Yield) ที่สูงกว่า พันธบัตรทั่วไป สินทรัพย์ประเภทนี้ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยสูงถึง 10.1% และช่วยกระจายความเสี่ยงได้ดี
-
Private Equity (หุ้นนอกตลาด): คือการเข้าไปลงทุนในบริษัทเอกชนที่ยังไม่เข้าตลาดหลักทรัพย์ การลงทุนประเภทนี้มีโอกาสสร้างการเติบโตในระยะยาว และการเพิ่ม Private Equity ทุกๆ 10% ของสัดส่วนพอร์ต ช่วย ลดความผันผวนของพอร์ต 60/40 ได้ประมาณ 80bps
-
Real Assets (สินทรัพย์จริง): เช่น โครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) และการขนส่ง (Transport) สินทรัพย์เหล่านี้มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจและมีคุณสมบัติในการ ป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ (Inflation hedge) พร้อมสร้างกระแสเงินสดที่มั่นคง
-
Real Estate (อสังหาริมทรัพย์): เน้นอสังหาริมทรัพย์หลักในตลาดสำคัญ ข้อดีคือให้ผลตอบแทนที่ขับเคลื่อนด้วยรายได้ค่าเช่า (Income-driven) มีความผันผวนต่ำ และเป็นสินทรัพย์ที่ทนทานต่อภาวะเงินเฟ้อ.
สุดท้ายอยากฝากไว้ว่า “ในโลกของการลงทุน คุณไม่ได้ชนะด้วยการวิ่งไล่ราคา แต่คุณชนะด้วยการควบคุมกลยุทธ์ของคุณ" การผสมผสานสินทรัพย์ที่หลากหลาย และมีคุณภาพสูงจะช่วยให้พอร์ตของเรามีความยืดหยุ่นและให้ผลตอบแทนที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ และนี่คือบทสรุปของงานสัมมนา Know The Markets Summit 2025 | Core Stability Amidst Market Volatility สนใจอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Link ด้านล่าง
https://www.kasikornasset.com/th/Pages/Know-the-Markets-Summit-2025.aspx
ขอขอบคุณข้อมูลจาก: Know The Markets