ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปรับตัวขึ้นแรง รับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาลใหม่ เน้นอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์และเทคโนโลยี พร้อมคำแนะนำการลงทุนที่เหมาะกับทุกกลุ่มนักลงทุน

ประเด็นร้อน : ตลาดหุ้นญี่ปุ่นพุ่งแรง ขานรับนายกฯใหม่ทุ่มงบกระตุ้นอุตสาหกรรม

ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปรับตัวขึ้นแรง รับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาลใหม่ เน้นอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์และเทคโนโลยี พร้อมคำแนะนำการลงทุนที่เหมาะกับทุกกลุ่มนักลงทุน

กดฟัง
หยุด
  • 20 มิ.ย. 68 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นราว 3% จากรัฐบาลใหม่มีนโยบายกระตุ้นอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ, เทคโนโลยี, ไซเบอร์ซีเคียวริตี้ และ พลังงานนิวเคลียร์
  • K WEALTH มีมุมมองเป็นกลาง (Neutral) ต่อตลาดหุ้นญี่ปุ่น โดยยังคงถือต่อได้หากถือไว้ไม่เยอะ หรือใช้โอกาสที่ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นหาจังหวะขายทำกำไรเพื่อลดสัดส่วนและความเสี่ยงจากการลงทุนกระจุกตัว และนำเงินไปลงทุนกองทุนหุ้นอื่น เช่น K-INDIA-A(D), K-GHEALTH, K-GINFRA, K-GSELECT, K-ATECH

ญี่ปุ่นประกาศจัดตั้งรัฐบาลใหม่โดยมี ซานาเอะ ทาคาอิจิ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี หลังจากพรรค LDP บรรลุข้อตกลงกับพรรค Ishin และแยกตัวจาก Komeito โดยเป้าหมายหลักของรัฐบาลใหม่คือการเดินหน้านโยบายการคลังเชิงรุก (Proactive Fiscal Policy) โดยเน้นการอัดฉีดงบประมาณเข้าสู่อุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ ได้แก่ อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ, เทคโนโลยี, ไซเบอร์ซีเคียวริตี้ และ พลังงานนิวเคลียร์


ผลจากการประกาศดังกล่าว หุ้นในกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมเป้าหมายปรับตัวขึ้นแรงในเช้าวันจันทร์ 20 มิ.ย. 68 เช่น FFRI Security (ไซเบอร์ฯ) +23% ส่วน Sukegawa Electric และ Toyo Tanso (พลังงานนิวเคลียร์) ก็ปรับตัวขึ้นแรงเช่นกัน


ขณะเดียวกัน การคลี่คลายของความตึงเครียดทางการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ และความคาดหวังว่าเฟดจะปรับลดดอกเบี้ย เป็นอีกแรงส่งให้หุ้นญี่ปุ่นฟื้นตัว โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยีและธนาคาร


ดัชนีที่เกี่ยวข้อง ณ วันที่ 20 ต.ค. 68

  • Nikkei 225 +3.47% เทียบกับวันทำการก่อนหน้า
  • Topix +2.46% เทียบกับวันทำการก่อนหน้า

Market Outlook

การปรับคณะรัฐบาลของญี่ปุ่น และการประกาศใช้นโยบายการคลังขนาดใหญ่ ช่วยหนุนความเชื่อมั่นต่อตลาดหุ้นญี่ปุ่น โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายที่รัฐบาลให้การสนับสนุน ขณะที่การคลี่คลายของความเสี่ยงภายนอก (เช่น สงครามการค้า, ปัญหาธนาคารสหรัฐฯ) ทำให้กระแสเงินทุนมีแนวโน้มไหลกลับเข้าสินทรัพย์เสี่ยงในภูมิภาคเอเชีย


อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนของความร่วมมือระหว่างพรรค LDP และ Ishin ซึ่งมีฐานเสียงต่างกัน และความท้าทายในการผ่านกฎหมายงบประมาณในอนาคต อาจสร้างแรงกดดันต่อเสถียรภาพของรัฐบาล รวมถึงการใช้นโยบายการคลังแบบผ่อนคลายอาจสร้างความกังวลต่อความยั่งยืนทางการคลังของญี่ปุ่น ทำให้ K WEALTH ยังคงมีมุมมอง Neutral ต่อตลาดหุ้นญี่ปุ่น


คำแนะนำการลงทุน กองทุนหุ้นญี่ปุ่น เช่น K-JP-A(D) K-JPX-A(A)

  • นักลงทุนที่ยังไม่มีการลงทุนในกองทุนหุ้นญี่ปุ่น แนะนำลงทุนในกองแนะนำอื่น
  • นักลงทุนที่มีการลงทุนกองทุนหุ้นอยู่:
    • หากมีสัดส่วนน้อยกว่า 20%ของเงินลงทุน ยังคงแนะนำให้ถือกองทุนหุ้นญี่ปุ่นต่อได้
    • หากมีสัดส่วนมากกว่า 20%ของเงินลงทุน แนะนำทยอยลดสัดส่วนให้ถือกองทุนหุ้นญี่ปุ่นน้อยกว่า 20% เพื่อลดความเสี่ยงในการลงทุนกระจุกตัว และนำเงินส่วนที่ขายคืนไปลงทุนกองทุนแนะนำอื่น ได้แก่
      • ผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง สามารถทยอยเข้าลงทุนในกองทุนแนะนำที่มีศักยภาพเติบโตระยะยาว เช่น
        • ประเทศเศรษฐกิจขยายตัวสูงอย่างอินเดียผ่านกองทุน K-INDIA-A(D)
        • กลุ่ม Defensive ไม่ว่าจะเป็น Global Healthcare ผ่านกองทุน K-GHEALTH หรือกลุ่ม Global Infrastructure ผ่านกองทุน K-GINFRA
        • กองทุนหุ้นโลกที่เน้นคัดเลือกหุ้นคุณภาพผ่านกองทุน K-GSELECT
        • กองทุนหุ้นเทคโนโลยีเอเชียผ่านกองทุน K-ATECH
      • ผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ปานกลางถึงต่ำ แนะนำทยอยเข้าลงทุนในกองทุนผสมที่มีการกระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสม ได้แก่ K WealthPLUS Series อย่าง K-WPBALANCED K-WPSPEEDUP หรือกองทุนตราสารหนี้ระยะยาว K-FIXEDPLUS-A
      • ผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ แนะนำลงทุนในกองทุนตลาดเงินหรือตราสารหนี้ระยะสั้น เช่น K-SFPLUS-A

ในจังหวะที่ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นเช่นนี้ ถือเป็นจังหวะที่ดี สำหรับนักลงทุนที่ถือกองทุนหุ้นญี่ปุ่นในสัดส่วนที่เกิน 20% หรือมีกำไรมากกว่า 10% ที่จะพิจารณา ทยอยขายทำกำไรบางส่วน (Take Profit) เพื่อล็อกผลตอบแทน และสับเปลี่ยนเงินไปลงทุนกองทุนอื่นเพื่อปรับพอร์ตให้สมดุลได้


หมายเหตุ:
  • ระดับความเสี่ยงกองทุน
    • K-SFPLUS, K-FIXEDPLUS-A ความเสี่ยงกองทุนระดับ 4
    • K-WPSPEEDUP, K-WPBALANCED ความเสี่ยงกองทุนระดับ 5
    • K-INDIA-A(D), K-GHEALTH, K-GINFRA, K-GSELECT, K-ATECH: ความเสี่ยงกองทุนระดับ 6
  • นโยบายป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน
    • K-SFPLUS: ป้องกันความเสี่ยง100%ของเงินลงทุนต่างประเทศ
    • K-FIXEDPLUS-A: ป้องกันความเสี่ยง มากกว่า 90%ของเงินลงทุนต่างประเทศ
    • K-INDIA-A(D), K-GHEALTH, K-GINFRA: ป้องกันความเสี่ยง ไม่น้อยกว่ากว่า 75%ของเงินลงทุนต่างประเทศ
    • K-WPBALANCED, K-WPSPEEDUP, K-GSELECT, K-ATECH: ป้องกันความเสี่ยงตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน
  • ระยะเวลาการรับเงินค่าขายคืน (ตัวอย่างเช่น ระยะเวลาการรับเงินค่าขายคืน T+6 หมายถึง จะได้รับเงินค่าขายคืน 6 วันทำการถัดจากวันที่ทำรายการ (T+6) เช่น ขายคืนวันจันทร์ จะได้รับเงินค่าขายคืนวันอังคารของสัปดาห์ถัดไป (กรณีไม่มีวันหยุดอื่น นอกจากเสาร์-อาทิตย์))
    • K-SFPLUS: T+1
    • K-FIXEDPLUS-A: T+2
    • K-GSELECT: T+3
    • K-INDIA-A(D), K-GHEALTH, K-GINFRA, K-ATECH: T+4
    • K-WPBALANCED, K-WPSPEEDUP: T+6

คำเตือน

Disclaimer: “ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน”, “ทำความเข้าเงื่อนไขการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีและผลกระทบหากทำผิดเงื่อนไขก่อนตัดสินใจลงทุน”

ผู้เขียน

KWEALTH

Back to top