-
21 ต.ค. 68 ราคาทองคำปรับตัวลงแรงสุด 6.3%เทียบกับวันก่อนหน้า จากการที่นักลงทุนมองว่าราคาทองคำพุ่งขึ้น “เร็วเกินไป”
-
K WEALTH แนะนำว่าแม้ยังคงถือต่อได้แต่ไม่ควรถือเกิน 15%ของเงินลงทุน โดยแนะนำหาจังหวะขายทำกำไร ในจังหวะที่ราคาฟื้นตัวหรือตอนที่มีกำไรในระดับที่พอใจ และนำเงินไปลงทุนกองทุนอื่น เช่น K-INDIA-A(D), K-CHINA-A(A), K-GHEALTH, K-GINFRA, K-GSELECT, K-ATECH
ราคาทองคำเผชิญกับแรงขายอย่างรุนแรงติดต่อกันเป็นวันที่สอง สะท้อนภาวะการขายทำกำไรของนักลงทุน หลังจากราคาทองคำพุ่งทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยราคาทองคำ Spot ร่วงลงมากสุดถึง 2.9% ลงมาแตะระดับต่ำสุดที่บริเวณ $4,004.26 ต่อออนซ์ หลังจากวันก่อนหน้านี้ (21 ต.ค. 68) ราคาดิ่งลงมากถึง 6.3% ซึ่งถือเป็นการปรับตัวลงรายวันครั้งใหญ่ที่สุดในรอบกว่า 12 ปี
แรงกดดันเกิดขึ้นจากการที่นักลงทุนจำนวนมากเริ่มรู้สึกว่าราคาทองคำพุ่งขึ้น “เร็วเกินไป” ทำให้นักลงทุนมองว่าราคาทองคำอยู่ในช่วง Overbought (หมายถึง มีการซื้อมากเกินไป ทำให้ราคาสูงขึ้น จนอาจไม่มีคนซื้อต่อ) อีกทั้งกองทุนเฮดจ์ฟันด์และผู้จัดการกองทุนที่มีสถานะ Long ทองคำในต้นทุนต่ำ มองเห็นโอกาสในการขายทำกำไรที่ระดับราคานี้ จึงเกิดการเทขายอย่างรวดเร็ว จนกระทบต่อ Sentiment ของตลาดโดยรวม และกระตุ้นให้เกิดแรงขายแบบ “Domino” ตามมา
ราคาสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้อง ณ 22 ต.ค. 68 เวลา 9.30 น.
- Gold $4,109 (-0.30%)
- Silver $48.89 (+0.36%)
มุมมองตลาด
K WEALTH ประเมินว่าในระยะข้างหน้า ราคาทองคำมีแนวโน้มผันผวนสูงจากแรงขายทำกำไรของนักลงทุนที่กังวลว่าราคาจะปรับลงต่อ โดยเฉพาะหลังจากที่ปัจจัยบวกต่าง ๆ เช่น ความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยจากสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ รวมถึงแนวโน้มการลดดอกเบี้ยจากธนาคารกลาง ได้ Price in ไปในราคาทองคำก่อนหน้านี้ค่อนข้างมากแล้ว
คำแนะนำการลงทุน กองทุนทองคำ เช่น K-GOLD-A(A), K-GOLD-A(D)
- นักลงทุนที่ยังไม่มีการลงทุนในกองทุนทองคำ หากต้องการลงทุนแนะนำลงทุนในกองทุนแนะนำอื่น จะเป็นทางเลือกที่เหมาะสมกว่าในสถานการณ์ราคาทองคำ ณ ปัจจุบัน
- นักลงทุนที่มีการลงทุนกองทุนทองคำอยู่ แนะนำขายทำกำไร ในจังหวะที่ราคาฟื้นตัวหรือตอนที่มีกำไรในระดับที่พอใจ เช่น กำไรไม่น้อยกว่า 10% และนำเงินที่ได้จากการขายคืนไปลงทุนในกองทุนแนะนำอื่น โดย
- ผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง สามารถทยอยเข้าลงทุนในกองทุนแนะนำที่มีศักยภาพเติบโตระยะยาว เช่น
- ประเทศเศรษฐกิจขยายตัวสูงอย่างอินเดียผ่านกองทุน K-INDIA-A(D) และประเทศจีนผ่านกองทุน K-CHINA-A(A)
- กลุ่ม Defensive ไม่ว่าจะเป็น Global Healthcare ผ่านกองทุน K-GHEALTH หรือกลุ่ม Global Infrastructure ผ่านกองทุน K-GINFRA
- กองทุนหุ้นโลกที่เน้นคัดเลือกหุ้นคุณภาพผ่านกองทุน K-GSELECT
- กองทุนหุ้นเทคโนโลยีเอเชียผ่านกองทุน K-ATECH
- ผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ปานกลางถึงต่ำ แนะนำทยอยเข้าลงทุนในกองทุนผสมที่มีการกระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสม ได้แก่ K WealthPLUS Series อย่าง K-WPBALANCED K-WPSPEEDUP หรือกองทุนตราสารหนี้ระยะยาว K-FIXEDPLUS-A
- ผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ แนะนำลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น เช่น K-SFPLUS-A
สำหรับผู้ที่ยังต้องการถือกองทุนทองคำต่อ แนะนำว่าควรถือในสัดส่วนที่ไม่เกิน 15%ของเงินลงทุน เพื่อเป็นการกระจายและรักษาสมดุลความเสี่ยงของพอร์ต ให้มีการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง เช่น กองทุนและกองทุนทองคำ รวมถึงควรมีกองทุนตราสารหนี้ด้วย
หมายเหตุ:
- ระดับความเสี่ยงกองทุน
- K-SFPLUS, K-FIXEDPLUS-A ความเสี่ยงกองทุนระดับ 4
- K-WPSPEEDUP, K-WPBALANCED ความเสี่ยงกองทุนระดับ 5
- K-INDIA-A(D), K-CHINA-A(A), K-GHEALTH, K-GINFRA, K-GSELECT, K-ATECH: ความเสี่ยงกองทุนระดับ 6
- K-GOLD-A(A), K-GOLD-A(D): ความเสี่ยงกองทุนระดับ 8
- นโยบายป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน
- K-SFPLUS: ป้องกันความเสี่ยง100%ของเงินลงทุนต่างประเทศ
- K-FIXEDPLUS-A: ป้องกันความเสี่ยง มากกว่า 90%ของเงินลงทุนต่างประเทศ
- K-INDIA-A(D), K-CHINA-A(A), K-GHEALTH, K-GINFRA: ป้องกันความเสี่ยง ไม่น้อยกว่ากว่า 75%ของเงินลงทุนต่างประเทศ
- K-GOLD-A(A), K-GOLD-A(D): ป้องกันความเสี่ยง ไม่น้อยกว่ากว่า 90%ของเงินลงทุนต่างประเทศ
- K-WPBALANCED, K-WPSPEEDUP, K-GSELECT, K-ATECH: ป้องกันความเสี่ยงตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน
- ระยะเวลาการรับเงินค่าขายคืน (ตัวอย่างเช่น ระยะเวลาการรับเงินค่าขายคืน T+6 หมายถึง จะได้รับเงินค่าขายคืน 6 วันทำการถัดจากวันที่ทำรายการ (T+6) เช่น ขายคืนวันจันทร์ จะได้รับเงินค่าขายคืนวันอังคารของสัปดาห์ถัดไป (กรณีไม่มีวันหยุดอื่น นอกจากเสาร์-อาทิตย์))
- K-SFPLUS: T+1
- K-GOLD-A(A), K-GOLD-A(D), K-FIXEDPLUS-A: T+2
- K-GSELECT: T+3
- K-INDIA-A(D), K-CHINA-A(A), K-GHEALTH, K-GINFRA, K-ATECH: T+4
- K-WPBALANCED, K-WPSPEEDUP: T+6