เกมต่อรองมากกว่าการเผชิญหน้า
การขยายกฎควบคุมการส่งออก Rare Earths ของจีนในรอบนี้มีขอบเขตกว้างขวางกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา โดยครอบคลุมสินค้าทุกชนิดที่มีองค์ประกอบของแร่หายากเกิน 0.1% ของมูลค่า พร้อมกำหนดให้มี “ใบอนุญาตพิเศษ” สำหรับการใช้ในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับกลาโหมและชิปขั้นสูง ซึ่งตีวงกระทบทั้งอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ เซมิคอนดักเตอร์ และยานยนต์ไฟฟ้า
สหรัฐฯ ตอบโต้ด้วยการขู่ภาษีใหม่สูงสุดถึง 100% และพิจารณาจำกัดการส่งออกซอฟต์แวร์ด้านความมั่นคงเพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม ทีม K WEALTH CIO วิเคราะห์ว่า “ภาษีทรัมป์” รอบนี้มีลักษณะเป็น “กลยุทธ์ต่อรอง” มากกว่าการเปิดศึกจริง โดยทั้งสองฝ่ายต้องการสร้างแรงกดดันทางจิตวิทยาก่อนการประชุมผู้นำ APEC ปลายเดือนตุลาคม เพราะมีแนวโน้มสูงที่ทั้งสองฝ่ายจะหาทางผ่อนคลายเงื่อนไขหลังเจรจา และในหลายกรณีที่ผ่านมา การขู่เก็บภาษีมักกลายเป็น “จุดซื้อ” สำหรับนักลงทุนระยะกลาง เมื่อความจริงเบากว่าความกลัวของตลาด
สหรัฐฯ รับแรงกระแทกจำกัด เพราะโครงสร้างนำเข้าเปลี่ยนไปแล้ว
K WEALTH CIO ประเมินว่าผลกระทบต่อ GDP สหรัฐฯ จะอยู่เพียง 0.3–0.4 % ซึ่งถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับระดับความตึงเครียดของข่าว เหตุผลคือ โครงสร้างการนำเข้าสินค้าของสหรัฐฯ ได้เปลี่ยนไปอย่างมากในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา โดยสัดส่วนการนำเข้าสินค้าจากจีนลดลงจาก 22% ในปี 2018 เหลือเพียงประมาณ 13% ของสินค้านำเข้าทั้งหมดในปี 2025 สะท้อนความสำเร็จของภาคเอกชนสหรัฐฯ ในการกระจายห่วงโซ่อุปทาน (supply chain diversification) ไปยัง เม็กซิโก อินเดีย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
นอกจากนี้ การบริโภคภายในประเทศที่แข็งแกร่งและตลาดแรงงานที่ยังตึงตัว ทำให้ผลกระทบจากต้นทุนสินค้าสูงขึ้นยังไม่สามารถบั่นทอนเศรษฐกิจโดยรวมได้ ในทางกลับกัน ความผันผวนที่เกิดขึ้นกลับช่วยลดแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ และเปิดโอกาสให้ Fed สามารถพิจารณาดำเนินนโยบายผ่อนคลาย และลดดอกเบี้ยได้ง่ายขึ้น ซึ่งถือเป็นปัจจัยบวกต่อสินทรัพย์เสี่ยงในรอบถัดไป
จีน:จากแรงกดดันสู่โอกาสสร้างอำนาจทางเศรษฐกิจใหม่
จีนครองกว่า 90% ของตลาดการแปรรูปแร่หายาก และ 98% ของการแปรรูปแร่หนัก (heavy rare earths) ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักของแม่เหล็กถาวร ชิป และระบบพลังงานสะอาด ดังนั้น การจำกัดการส่งออกเพียงบางส่วนก็สามารถสร้างแรงกระเพื่อมต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีของสหรัฐฯ และยุโรปได้อย่างมหาศาล
(ที่มา Reuters ข้อมูล ณ วันที่ 24 ต.ค. 2568)
แม้สหรัฐฯ และออสเตรเลียจะร่วมลงทุนกว่า 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อพัฒนาเหมืองและโรงแปรรูปใหม่ แต่ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า “การสร้างห่วงโซ่แร่นอกจีนให้ครบวงจร” อาจต้องใช้เวลาถึง 5–10 ปี ซึ่งหมายความว่าจีนยังมีอำนาจต่อรองในตลาดนี้อย่างน้อยตลอดช่วงครึ่งหลังของทศวรรษนี้
กฎส่งออกใหม่ของจีนที่มีผลในเดือนธันวาคม 2025 จะครอบคลุมทั้งวัตถุดิบ แร่โลหะ และเครื่องจักรที่ใช้ผลิตสินค้ากลุ่มนี้ รวมถึงแม้แต่สินค้าที่มีองค์ประกอบของแร่หายากจากจีนเพียงเล็กน้อยก็ต้องขออนุญาตก่อนส่งออก มาตรการนี้จึงกลายเป็น “ตัวเร่ง” ให้เกิดการเร่งลงทุนในประเทศจีนเอง โดยเฉพาะในภาคพลังงานสะอาด และเซมิคอนดักเตอร์ระดับกลาง นี่คือ “โอกาสพลิกเกม” ที่ช่วยให้จีนเปลี่ยนบทบาทจากผู้ส่งออกวัตถุดิบราคาต่ำ สู่การเป็น ผู้ผลิตมูลค่าเพิ่มสูง (value-added manufacturer) ที่มีห่วงโซ่ครบวงจรในประเทศที่จะเป็นปัจจัยหนุนหลักของเศรษฐกิจจีนในระยะยาว
(ที่มา Reuters ข้อมูล ณ วันที่ 24 ต.ค. 2568)
ตลาดทุนเอเชีย: ความผันผวนระยะสั้น แต่โอกาสสะสมระยะกลาง
ผลกระทบโดยตรงของมาตรการภาษีต่อ GDP ของประเทศในเอเชียส่วนใหญ่ ต่ำกว่า 1% และในหลายประเทศกลับได้รับอานิสงส์จากการย้ายฐานการผลิต เช่น เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย และไทย ซึ่งกำลังกลายเป็นศูนย์กลางใหม่ของห่วงโซ่อุตสาหกรรมเทคโนโลยีระดับกลาง (mid-tech manufacturing hub) นักลงทุนระยะกลางจึงควรจับตา “รอยต่อของความผันผวน” ช่วงก่อนการประชุม APEC เพราะหากข่าวภาษีคลี่คลาย การดีดกลับของหุ้นเอเชียและจีนอาจเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยี วัสดุ และพลังงานสะอาดที่อยู่ในเส้นทางโครงสร้างการเติบโตระยะยาว
บทสรุปและคำแนะนำการลงทุน
ภาษีรอบใหม่อาจเป็นเพียง “คลื่นแรงที่กระทบให้เรือสั่นโคลง” ในตลาดทุน แต่เบื้องหลังคือการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจโลกจีน และเอเชียกำลังกลายเป็นศูนย์กลางของห่วงโซ่อุปทานยุคใหม่ ขณะที่สหรัฐฯ มีแนวโน้มรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจได้โดยไม่กระทบวงกว้าง จังหวะนี้จึงเหมาะต่อการ ปรับพอร์ตรับโอกาสการลงทุนรอบใหม่ในเอเชียและตลาดเกิดใหม่ (EM)
K-CHINA: สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง จีนยังคงเป็นธีมเด่นจากการเติบโตของกลุ่มเทคโนโลยีและพลังงานสะอาดผสานกับ Valuation ที่ต่ำกว่าสหรัฐฯ อย่างมีนัยยะ และการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่อง รวมถึงอานิสงส์จากการลงทุนภายในประเทศที่เพิ่มขึ้นในภาคแม่เหล็ก ชิป และ EV ซึ่งจะเป็นตัวขับเคลื่อนรอบใหม่ของตลาดทุนจีน
K-ATECH: เทคโนโลยีเอเชีย (Asia Technology) ได้อานิสงส์จากการกระจายห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Diversification) โดยเฉพาะในเกาหลีใต้ ไต้หวัน และไทย ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับการผลิต Semiconductor และชิ้นส่วน AI ขณะเดียวกันการใช้พลังงานสะอาดและการเปลี่ยนผ่านสู่ Digital Infrastructure จะเป็นแรงขับสำคัญของกลุ่มนี้ในระยะยาว
K-INDIA: แม้ตลาดอินเดียเคยถูกกดดันจากความไม่แน่นอนเรื่อง Tariffs ของสหรัฐฯ แต่ปัจจุบันสถานการณ์เริ่มผ่อนคลาย โครงสร้างเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยการบริโภคภายในประเทศ (Domestic Growth Story) และนโยบายดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศยังเป็นปัจจัยหนุนหลัก ทำให้ตลาดอินเดียมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องหลังผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว