-
ปัญหาหลักของมือใหม่ลดหย่อนภาษี มักเริ่มวางแผนช้า เลือกกองทุนตามกระแสโดยไม่เข้าใจเป้าหมาย ทำให้พอร์ตลงทุนกระจุกตัวและเสี่ยงเกินจำเป็น
-
ภาษีคือเครื่องมือวางแผน ไม่ใช่ภาระ เพราะเราสามารถเปลี่ยนเงินภาษีที่ต้องจ่าย ให้กลายเป็นเงินออมระยะยาวได้ผ่าน RMF, ThaiESG หรือประกัน ซึ่งแต่ละแบบตอบโจทย์ต่างกันทั้งระยะเวลาและความยืดหยุ่น
-
แผนลดหย่อนสไตล์คนรุ่นใหม่ ควรผสมทั้งการลงทุนและการป้องกันความเสี่ยง เช่น RMF เพื่อสร้างพอร์ตเกษียณ, ThaiESG เพื่อความยืดหยุ่น และประกันเพื่อคุ้มครองพอร์ตไม่ให้สะดุด
ปัญหาสำหรับมือใหม่หัดลดหย่อนภาษี
ช่วงต้นปีถึงกลางปี มักเป็นช่วงเวลาที่ประชาชนคนธรรมดาอย่างเราๆ ปล่อยผ่านเรื่องภาษีไปเฉยๆ รายได้ก็เข้า เงินเดือนก็ออกตามปกติ ยังไม่รู้สึกถึงแรงกดดันอะไร เพราะใบหักภาษีสิ้นปียังมาไม่ถึง แต่พอเข้าสู่ไตรมาสสุดท้ายของปี ช่วงตุลาคม-พฤศจิกายน เสียงเตือนจากเพื่อนร่วมงานและที่ปรึกษาการเงินเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ “ปีนี้ซื้อลดหย่อนไปหรือยัง?” หลายคนเริ่มรีบหาข้อมูลอย่างฉุกละหุก เปิดเว็บเทียบกองทุน ดูรีวิวในกลุ่มการเงิน หรือถามเพื่อนว่าซื้ออะไรดี สุดท้ายก็คือไม่ได้มีการวางแผนลดหย่อนภาษีใดๆ และมักจบที่การเลือกกองทุนตามกระแส เช่น กองนี้ผลตอบแทนดี หรือ อันนี้ได้ลดภาษีเยอะสุด โดยไม่ได้ดูเลยว่ากองที่ซื้อเหมาะกับเป้าหมายของตัวเองหรือไม่
บางคนสะสม RMF มาหลายปี แต่ลงทุนอยู่ในตลาดใดตลาดหนึ่งมากเกินไปทำให้พอร์ตกระจุกตัว ตอนตลาดดี ผลตอบแทนอาจพุ่งแรงจนรู้สึกว่าตัดสินใจถูก แต่พอตลาดผันผวนหรือปรับฐานแรง พอร์ตที่มีการลงทุนแบบกระจุกตัวร่วงพร้อมกันยกแผง กลายเป็นว่าซื้อเพื่อลดภาษี แต่ต้องมานั่งเครียดกับมูลค่าพอร์ตที่หายไป
อีกกลุ่มหนึ่งซื้อ ThaiESG เพราะได้ยินว่า “ลดหย่อนง่าย ไม่ต้องซื้อทุกปี” แต่ก็ไม่ได้ดูว่ากองที่เลือกลงทุนอยู่ในสินทรัพย์แบบไหน บางกองเป็นตราสารหนี้ บางกองเป็นหุ้นไทยเต็มพอร์ต ผลคือไม่รู้ว่าตัวเองกำลังถือกองทุนแบบไหนอยู่ และความเสี่ยงจริงๆ คือเท่าไหร่
สุดท้ายเมื่อผ่านไปปีหนึ่ง การลดหย่อนภาษีจบลงด้วยการ ซื้อกองทุนเพื่อใช้สิทธิ์มากกว่าวางแผนการลงทุนเพื่ออนาคตและนั่นคือปัญหาหลักของคนมือใหม่ที่อยากเริ่มต้นลดหย่อนแต่ยังไม่เข้าใจภาพรวมของการวางพอร์ตจริงๆ
ภาษีไม่ได้มีไว้แค่จ่ายแต่ใช้วางแผนการเงินในอนาคตได้
ทุกสิ้นปี หลายคนเริ่มหาวิธีลดหย่อนภาษีด้วยความคิดว่าแค่ทำให้จ่ายน้อยที่สุดก็พอ แต่จริงๆ คือถ้าเราจัดการเงินอย่างชาญฉลาด เงินที่ต้องจ่ายให้รัฐทุกปี สามารถเปลี่ยนให้กลายเป็นเงินออม หรือเงินลงทุนเพื่ออนาคตได้ ถ้าวางแผนให้ถูกทางเพราะคนที่เริ่มวางแผนภาษีเร็วกว่า มักไม่ได้แค่จ่ายน้อยกว่า แต่ยัง “สร้างทรัพย์สินในอนาคตได้มากกว่า” ด้วย
ปี 2025 นี้ ช่องทางที่จะช่วยเราวางแผนภาษีที่น่าสนใจมีอยู่สามทางเลือกใหญ่ๆ แต่ละทางก็มี “เป้าหมาย” และ “ระดับความยืดหยุ่น” ที่ต่างกันออกไป ดังนี้
- RMF หรือ Retirement Mutual Fund: เหมาะกับคนที่อยาก “วางแผนชีวิตตั้งแต่วันนี้” เพื่อใช้เงินอย่างมั่นคงหลังเกษียณ
ข้อดีของ RMF คือ “มีแผนในตัว” เป็นเครื่องมือช่วยวางแผนการออมที่ทำให้ผู้ลงทุนสามารถเลือกลงทุนตามช่วงวัยได้ — ช่วงอายุยังน้อยก็เลือกสินทรัพย์เสี่ยงสูงเพื่อเร่งโตได้ แต่พออายุมากขึ้นก็สลับไปสินทรัพย์ปลอดภัยขึ้นได้
เงื่อนไขหลักของ RMF คือ
- ต้องลงทุน ปีเว้นปีเป็นอย่างน้อย
- ถือครองต่อเนื่อง ไม่น้อยกว่า 5 ปี
- ขายได้เมื่อ อายุครบ 55 ปีขึ้นไป
พูดง่าย ๆ คือ เป็นเครื่องมือที่ “บังคับให้มีวินัย” ไปพร้อมกับ “สิทธิลดหย่อน” — เหมาะกับคนที่อยากสร้างพอร์ตเกษียณจริงจัง แต่ก็ยังคุมเกมการลงทุนเองได้
- ThaiESG: ยืดหยุ่นกว่า ไม่ผูกพันยาว ในขณะที่ RMF เหมาะกับคนวางแผนยาว ThaiESG จะตอบโจทย์คนที่อยากได้ภาษีคืนแบบ “สบาย ๆ” ไม่ต้องผูกพันยาวถึงวัยเกษียณ กองทุน ThaiESG ลงทุนในบริษัทไทยที่มีแนวทางบริหารอย่างยั่งยืน ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล
เงื่อนไขหลักคือ
- ลงทุนได้สูงสุด ไม่เกิน 30% ของรายได้ (สูงสุด 300,000 บาทต่อปี)
- ต้องถือครอง อย่างน้อย 5 ปีเต็มจากวันที่ซื้อ (นับแบบวันชนวัน)
- ไม่จำเป็นต้องซื้อทุกปี
จุดเด่นของ ThaiESG คือ “เลือกจังหวะเองได้” — จะซื้อปีไหนก็ได้ ขายได้เมื่อครบกำหนด และไม่ต้องกังวลเรื่องการลงทุนต่อเนื่อง เหมาะกับคนที่อยากเริ่มต้นลงทุนลดหย่อนภาษี โดยยังคงความยืดหยุ่นไว้ในมือ
- ประกัน: เกราะป้องกันไม่ให้แผนการเงินสะดุด อีกหนึ่งเครื่องมือที่มักถูกมองข้ามคือ “ประกัน” ซึ่งนอกจากจะช่วยลดหย่อนภาษีได้แล้ว ยังมีบทบาทสำคัญในการ “ปกป้องพอร์ตลงทุน” ด้วย เพราะเวลาชีวิตเจอเหตุไม่คาดฝัน เช่น อุบัติเหตุ เจ็บป่วย หรือภาระที่ต้องใช้เงินกะทันหัน คนที่ไม่มีประกันอาจต้องขายเงินลงทุนออกมาก่อนเวลา เพื่อหาเงินใช้ฉุกเฉิน แต่คนที่มีประกันไว้ เงินจากกรมธรรม์จะเข้ามาช่วยรองรับค่าใช้จ่าย ทำให้ไม่ต้องแตะเงินลงทุนที่ตั้งใจเก็บระยะยาวไว้เลย ดังนั้น การมีประกันในแผนภาษีจึงไม่ใช่แค่ “ลดหย่อนเพิ่ม” แต่คือ “กันชนสำคัญ” ที่ช่วยให้แผนการเงินเดินต่อได้ไม่สะดุด
แนะนำทางเลือกทางเลือกสำหรับแผนลดหย่อนสไตล์คนรุ่นใหม่
เมื่อเข้าใจแล้วว่าภาษีคือเครื่องมือวางแผน ไม่ใช่ภาระ ก็ถึงเวลามาเลือก “เส้นทางของตัวเอง” ว่าจะสร้างอนาคตแบบไหน เพราะแผนลดหย่อนสมัยนี้ ไม่ได้มีแค่ทางเดียว และไม่ได้จำกัดเฉพาะคนวัยใกล้เกษียณอีกต่อไป ส่วนการวางแผนภาษี สำหรับบุคคลธรรมดาที่เป็นคนรุ่นใหม่ จะมีอะไรบ้าง K WEALTH จัดมาให้ 2 แผนเน้นๆ ดังนี้
Plan A: RMF – แผนยาวไปถึงเกษียณ สำหรับก้อนที่ลงทุน เก็บเงินไว้ใช้ตอนเกษียณ RMF คือคำตอบ เพราะจุดเด่นคือสามารถ “สลับกองทุน” หรือ switch ไปมาระหว่างหุ้นกับตราสารหนี้ได้ตามช่วงอายุ
- เริ่มต้นตอนยังอายุน้อย ก็เน้นกองที่เสี่ยงสูงหน่อยได้เลย เพราะเวลายังเยอะ รับความผันผวนได้ดี เช่น KUSARMF, KGSELECTRMF, KGTECHRMF, KCHANGERMF, KGHMRMF เหมาะกับคนที่อยากเกาะกระแสหุ้นเติบโตในระยะยาว
- พออายุเริ่มเข้าประมาณ 40 ปีขึ้นไป ก็ถึงเวลาค่อยๆ ลดความเสี่ยงลง ปรับพอร์ตให้สมดุลมากขึ้นด้วยกองแบบ Balance อย่าง KWPBALRMF หรือ KWPSPEEDRMF ที่มีทั้งหุ้นและตราสารหนี้ผสมกัน ช่วยลดความผันผวนของพอร์ตได้ดีในช่วงที่เริ่มอยากรักษาผลตอบแทนมากกว่าลุ้นกำไรแรงๆ
- เมื่อเริ่มเข้าใกล้ช่วงวัย 45–50 ปี ก็ทยอยเปลี่ยนสัดส่วนจากหุ้นไปตราสารหนี้ให้มากขึ้น เพื่อเน้นความมั่นคง ป้องกันความเสี่ยงก่อนเกษียณ ซึ่งอาจเลือกกองอย่าง K-GDBONDRMF ที่เน้นตราสารหนี้คุณภาพดีทั่วโลก หรือตัวคลาสสิกอย่าง K-SFRMF ก็ได้เช่นกัน ตรงนี้จะช่วยล็อกผลตอบแทนระยะยาวให้พอร์ตมั่นคง และลดความผันผวนที่อาจมากระทบก่อนเกษียณ
พูดง่ายๆ คือ RMF เหมือนเป็น “เส้นทางชีวิตการลงทุน” ที่เริ่มจากซิ่งแรงได้ตอนหนุ่มสาว แล้วค่อยเบรกลงเรื่อยๆ ตามอายุ จนถึงช่วงเกษียณที่เน้นรักษาผลตอบแทนให้ใช้อย่างสบายใจ
Plan B: ThaiESG – แผนลงทุนในตลาดหุ้นไทย ถ้ายังไม่อยากผูกมัดยาวเหมือน RMF แต่อยากได้สิทธิลดหย่อนภาษีเหมือนกัน ก็มีทางเลือกอย่าง ThaiESG ที่ยืดหยุ่นกว่า ไม่มีเงื่อนไขว่าต้องซื้อทุกปีหรือต่อเนื่อง ลงเมื่อไหร่ก็ได้ หยุดเมื่อไหร่ก็ได้ เหมาะสำหรับคนที่อยากลงทุนในตลาดหุ้นไทยที่มีมูลค่าถูกกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง โดยปัจจุบันมีมูลค่า P/E Ratio อยู่ที่ราว 13.5 เท่า ซึ่งถือว่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปีที่อยู่ระดับ 15.2 เท่า และอยู่ใกล้เคียงกับระดับ -1 S.D. ที่ 13.7 เท่าเพราะตอนนี้ถือว่าตลาดยังอยู่ในโซนที่น่าสนใจ
- ถ้าเป็นสาย กล้าลงทุนจริงๆ ก็จัดไปเลยกับ K-TNZ-ThaiESG ที่เน้นลงทุนหุ้นไทยคุณภาพดีตามเกณฑ์ ESG เหมาะกับคนที่อยากรอจังหวะตลาดรีบาวด์แรงๆ
- ถ้าอยากให้พอร์ตดูบาลานซ์กว่านั้น ก็มี K-BL30-ThaiESG ที่กระจายการลงทุนทั้งหุ้นและตราสารหนี้ ช่วยลดความผันผวนและยังมีโอกาสสร้างผลตอบแทนจากหุ้นได้อยู่
- ถ้าอยากเริ่มแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่อยากเสี่ยงมากเกินไป ก็เลือก K-ESGSI-ThaiESG ที่ถือว่าปลอดภัยกว่ากองหุ้นล้วน
Protect Plan – ประกันออมสั้น คืนไว 11/3 เกราะป้องกันที่ช่วยไม่ให้แผนสะดุด นอกจากแผนลงทุน การปกป้องก็สำคัญไม่แพ้กัน เพราะ “เงินที่สร้างไว้” จะไม่มีค่าเลยถ้าวันหนึ่งต้องดึงออกมาใช้แก้ปัญหาเฉพาะหน้า ประกันออมสั้น คืนไว 11/3 จึงเหมาะกับมือใหม่ที่อยากเริ่มวางแผนแบบไม่เสี่ยงมาก จ่ายเบี้ยไม่กี่ปี แต่คุ้มครองยาวหลายเท่า และยังใช้สิทธิลดหย่อนได้เช่นกัน ในวันที่เกิดเหตุไม่คาดฝัน ประกันจะช่วยคุ้มครองค่าใช้จ่าย เพื่อให้พอร์ตลงทุนที่สร้างไว้ยังเดินหน้าต่อได้ ไม่ต้องขายกองทุนหรือสะสมทรัพย์ที่ตั้งใจเก็บไว้เพื่ออนาคต
ขอขอบคุณข้อมูลจาก: KBank