สำหรับคน Gen X หรือคนที่เกิดในช่วงปี พ.ศ. 2508-2523 (อายุ 45-60 ปี) ส่วนใหญ่อยู่ในช่วงปลายของการทำงาน รายได้สูงขึ้นแต่ภาระรายจ่ายก็สูงตาม ไม่ว่าจะผ่อนบ้าน ค่าใช้จ่ายครอบครัว หรือดูแลพ่อแม่ ลูก รวมถึงภาษีที่ต้องจ่ายทุกปี ช่วงนี้เป็นช่วงโค้งสุดท้ายก่อนหมดเขตใช้สิทธิลดหย่อนภาษีภายใน 30 ธ.ค. 2568 การเลือกผลิตภัณฑ์ที่ให้ประโยชน์ ทั้งลดหย่อนภาษี และ ออมเงินเกษียณ กลายเป็นเรื่องสำคัญมาก บทความนี้ช่วยสรุปตัวเลือกที่เหมาะกับคน Gen X มองหาความคุ้มค่าระยะยาว ทั้ง กองทุนเพื่อการเกษียณ, ประกันบำนาญ ลดหย่อนภาษี, และ ประกันสะสมทรัพย์ ลดหย่อนภาษี
ทำไมคน Gen X ถึงต้องเน้นเรื่องเกษียณมากเป็นพิเศษ
แม้คน Gen X หลายคนมีรายได้มั่นคง แต่รายจ่ายประจำและภาระของครอบครัวทำให้เก็บเงินได้ไม่ง่าย เป้าหมายหลักของกลุ่มนี้คือ เก็บเงินไว้ใช้หลังเกษียณ และต้องใช้ “ผลิตภัณฑ์ลดหย่อนภาษี” ให้เกิดประโยชน์ที่สุด ดังนั้น การเลือกสินค้าที่ได้ประโยชน์หลายต่อ เช่น ลดหย่อนภาษี + ออมเงินระยะยาว + ใช้เงินได้ยืดหยุ่น จะช่วยเพิ่มโอกาสเก็บเงินครบตามเป้าหมาย
เลือกอย่างไรให้ได้ประโยชน์ 2 เด้ง
สำหรับคน Gen X (มีอายุตั้งแต่ 45 ปีขึ้นไป)
- ต้องการประหยัดภาษี การออมลงทุน ไม่ว่าจะผ่านกองทุน หรือ ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ หรือ แบบบำนาญ ก็นำเบี้ยประกันใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้
- ต้องการออมเงินเพื่อเกษียณ ส่วนใหญ่จะเริ่มใช้เงินหลังเกษียณ ประมาณอายุ 55 ปี สิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ประสบความสำเร็จในการลงทุน ไม่ใช่ ผลตอบแทนที่สูง หรือ เงินต้นที่เยอะ แต่กลับเป็น การออมที่ต่อเนื่อง เพื่อให้มีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว และลดความเสี่ยง นอกจากนี้เมื่อต้องการใช้เงิน สามารถขายได้ทั้งหมดในครั้งเดียว (ไม่ต้องถือครองให้ครบกำหนดแบบซื้อก่อน ครบก่อน / ซื้อหลัง ครบหลัง)
จาก Checklist หากมีความต้องการทั้ง 2 ข้อ ผลิตภัณฑ์ที่มีทั้งการประหยัดภาษี แบบออมต่อเนื่อง เมื่อครบกำหนดมีสิทธิขายได้ทั้งหมด นั่นคือ กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (Retirement Mutual Fund : RMF) ที่มีสิทธิซื้อสูงสุด ไม่เกิน 30% ของเงินได้ที่เสียภาษี ไม่เกิน 500,000 บาท แต่เมื่อรวมกับ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และ ประกันชีวิตแบบบำนาญ แล้วต้องไม่เกิน 500,000 บาท เช่นกัน ส่วนประกันชีวิตบำนาญ มีสิทธิซื้อสูงสุด ไม่เกิน 15% ของเงินได้ที่เสียภาษี ไม่เกิน 200,000 บาท ที่เน้นออม/จ่ายเบี้ยจนถึงอายุเกษียณ และเมื่อครบเงื่อนไข RMF สามารถขายได้ทั้งก้อน ส่วนประกันแบบบำนาญ จะได้เงินงวดออกมาปีละเท่าๆกัน จนถึงอายุ 85-90 ปี (แล้วแต่แบบ)
หากต้องการออมเงินเพื่อวัตถุประสงค์อื่น เช่น เก็บเงินดาวน์บ้าน เก็บเงินเพื่อค่าเทอมลูก ให้ดูระยะเวลาลงทุนตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไปให้สอดคล้องกับเงื่อนไขภาษี อย่างกองทุนรวมเพื่อความยั่งยืน (ThaiESG) ที่มีสิทธิซื้อสูงสุด ไม่เกิน 30% ของเงินได้ที่เสียภาษี แต่ไม่เกิน 300,000 บาท
ตัวอย่างวางแผนภาษีสำหรับคน Gen X
นายสมชาย อายุ 45 ปี ได้เงินเดือน 100,000 บาท มีโบนัส 3 เดือน (รายได้รวม 1,500,000 บาท) มีค่าใช้จ่ายส่วนตัว เดือนละ 20,000 บาท ค่าใช้จ่ายครอบครัว เช่นผ่อนบ้าน เดือนละ 30,000 บาท ซึ่งดอกเบี้ยสามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ ค่าใช้จ่ายเลี้ยงดูบุตร พ่อแม่ หรือคนในครอบครัว ใช้ลดหย่อนภาษีได้ตามเงื่อนไขที่กรมสรรพากรกำหนดก็ควรใช้ค่าลดหย่อนบุตร ค่าลดหย่อนเลี้ยงดูบิดามารดาให้ครบถ้วนด้วย สมมติว่าคุณสมชายเหลือเงินในแต่ละเดือน 20,000 บาท สมมติว่าต้องการใช้เงินหลังเกษียณ (เริ่มอายุ 60 ปี) เดือนละ 20,000 บาท (เท่ากับค่าใช้จ่ายส่วนตัว) ไปจนถึงอายุ 85 ปี เมื่อคำนึงถึงเงินเฟ้อ (เฉลี่ย 3% ต่อปี) แปลว่า จะต้องเตรียมเงินใช้หลังเกษียณอายุ เดือนละ 31,160 บาท เป็นระยะเวลา 25 ปี รวมเป็นเงิน `9,348,000 บาท (มาจาก 31,160 บาท x12 เดือน x25 ปี) มีสมมติฐานว่าจะต้องนำเงินก้อนนี้ไปลงทุนให้ได้ผลตอบแทนเอาชนะอัตราเงินเฟ้อได้ หากต้องการเริ่มต้นออมตั้งแต่อายุ 45 ปี ไปจนอายุ 60 ปี จะต้องออมเดือนละ 34,974 บาท ด้วยผลตอบแทนเฉลี่ย 5% ต่อปี
| อายุ 45 ปี
| อายุ 60 ปี
|
ใช้เงินถึงอายุ 85 ปี
|
ต้องการใช้เงินหลังเกษียณเดือนละ
| 20,000 บาท
| 31,160 บาท
(อัตราเงินเฟ้อ 3% ต่อปี)
|
รวมเป็นเงินที่ต้องมี
| | 9,348,000 บาท
(ลงทุนได้มากกว่า 3% ชนะเงินเฟ้อ)
|
ต้องออมเงินเดือนละ
| 34,974 บาท (ผลตอบแทนคาดหวัง = 5% ต่อปี)
| |
| ออมเงินหลังหักภาษี
ที่ประหยัดได้ (20%) เดือนละ
| 27,259 บาท (ผลตอบแทนคาดหวัง = 5% ต่อปี)
| |
จากตัวอย่าง หากเลือกลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ปานกลาง คาดหวังผลตอบแทนประมาณ 5% ต่อปี ควรเลือกกองทุน KWPULTIRMF เป็นกองทุนผสม โดยมีสัดส่วนหุ้นประมาณ 85% เพื่อให้สัดส่วนการลงทุนเหมาะสมกับผลตอบแทนที่คาดหวัง ซึ่งคาดการณ์ผลตอบแทนอยู่ที่ 7% ต่อปี จะต้องออมเดือนละ 34,974 บาท โดยนำส่วนที่ประหยัดภาษีได้อีก 6,995 บาท (ประหยัดภาษีได้ 20%) เทียบกับเงินเหลือออมเดือนละ 20,000 บาท จะยังขาดอีก 7,259 บาท ที่จะต้องปรับลดค่าใช้จ่ายอื่นๆ เพื่อให้มีเงินเพียงพอในการบรรลุเป้าหมายเกษียณอายุได้ ดังนั้น จากตัวอย่างแสดงให้เห็นว่า นอกจากจะต้องเลือกผลิตภัณฑ์ให้เหมาะสมกับความเสี่ยง ผลตอบแทนที่คาดหวังแล้ว ยังต้องกลับมาดูเงินออมที่เหลือในแต่ละเดือน เพื่อประเมินโอกาสในการบรรลุเป้าหมายด้วย จะได้มั่นใจว่าแผนที่วางไว้มีโอกาสสำเร็จได้จริง
นอกจากกองทุน RMF ยังมีประกันแบบบำนาญ ที่ใช้วางแผนวางต้องการใช้เงินเดือนละ 5,000 บาท จะเลือกประกันบำนาญที่เริ่มได้เงินคืนรายงวดเสมือนเงินบำนาญปีละ 60,000 บาท ก็เป็นการวางแผนที่ตอบได้ว่าจะได้เงินบำนาญกี่บาท และได้ค่อนข้างแน่นอนกว่า การลงทุนในกองทุน RMF
สรุปโพยลดหย่อนภาษี สำหรับคน Gen X
เป้าหมายการเงิน /ระยะเวลาลงทุน
|
มีเป้าหมายเก็บเงินเพื่อเกษียณอายุ (เกษียณหลังอายุ 55 ปี) | เป้าหมายเก็บเงินอื่น(ตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป)
|
กองทุน RMF แนะนำ
| ประกันบำนาญแนะนำ
| กองทุน ThaiESG แนะนำ
|
| เน้นลงทุนระยะยาว
(Core Port)
| KWPBALRMF กองผสม
(หุ้น~ 30%)
KWPULTIRMF กองผสม (หุ้น~ 85%)
| ประกันบำนาญ 90/55 ประกันบำนาญ 90/60 ประกันบำนาญ 90/65 (จ่ายบำนาญจนถึงอายุ 90 ปี เลือกได้ว่าจะเริ่มรับบำนาญได้ 3 ช่วงอายุ 55, 60 หรือ 65 ปี)
| K-ESGSI-ThaiESG(ตราสารหนี้ไทยระยะยาว) K-BL30-ThaiESG(กองผสม=ตราสารหนี้+หุ้นไทย) K-TNZ-ThaiESG(หุ้นไทย) |
| เน้นสร้างผลตอบแทนระยะสั้น
(Satellite Port)
| KINDIARMF กองหุ้นอินเดีย
KGHRMF กองหุ้นสุขภาพ
|
K WEALTH แนะนำกองทุนลดหย่อนภาษี แบ่งเป็น
- กองทุน ThaiESG มีให้เลือกตามระดับความเสี่ยง โดยเสี่ยงต่ำ ไป สูง ดังนี้
- นอกจากนี้ยังมีกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) เช่น กองทุน K-WPULTIRMF ที่เน้นลงทุนทั้งตราสารหนี้และหุ้น โดยสัดส่วนหุ้นมีประมาณ 85% และ
- ประกันชีวิตแบบบำนาญ ที่จะมีเงินบำนาญจนถึงอายุ 90 ปี แต่เลือกได้ว่าจะเริ่มรับบำนาญตอนอายุ 55, 60 หรือ 65 ปี
- ประกันชีวิตที่มีความคุ้มครอง 10 ปีขึ้นไป เช่น ประกันชีวิต 11/3 ที่สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีเพิ่มเติมได้อีกในช่วงปลายปี
นอกจากลดหย่อนภาษีด้วยผลิตภัณฑ์การออมการลงทุนแล้ว ยังมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการท่องเที่ยว ที่ทำให้สามารถใช้จ่ายเงินเพื่อไปเที่ยวแล้วยังประหยัดภาษีได้ด้วย