Rare Earth คือวัตถุดิบเชิงยุทธศาสตร์
Rare Earth คือกลุ่มโลหะหายาก 17 ชนิด ประกอบด้วย สแกนเดียม (Sc) อิตเทรียม (Y) และกลุ่มธาตุแลนทาไนด์อีก 15 ตัว ได้แก่ แลนทานัม (La) ซีเรียม (Ce) เพรซีโอดิเมียม (Pr) นีโอดิเมียม (Nd) โพรมีเทียม (Pm) ซาแมเรียม (Sm) ยูโรเพียม (Eu) แกโดลิเนียม (Gd) เทอร์เบียม (Tb) ดิสโพรเซียม (Dy) โฮลเมียม (Ho) เออร์เบียม (Er) ทูเลียม (Tm) อิตเทอร์เบียม (Yb) และลูทีเชียม (Lu)
โลหะหายากเหล่านี้ซึ่งรวมไปถึงบางตัวที่มีคุณสมบัติแม่เหล็ก มีขนาดตลาดเล็กกว่าทองแดงถึง 33 เท่า (ปี 2024) กลับมีบทบาทสำคัญใน Smartphone รถยนต์ไฟฟ้า อาวุธสุดล้ำ รวมไปถึงขีปนาวุธ คือใช้น้อยแต่ใช้นะ ขาดปุ๊ป สินค้าก็ใช้งานไม่ได้เลย
ตลอด 20-30 ปีที่ผ่านมา Rare Earth เป็นส่วนประกอบในหลากหลายสินค้าอย่างเงียบๆ มาโดยตลอด แต่แล้วเกมการเมืองโลกก็เข้มข้นขึ้น Rare Earth ก็ถูกหยิบขึ้นมาเป็นเครื่องมือต่อรองทางการเมือง เป็นเพราะอะไร? ทำไมถึงมีอานุภาพยิ่งใหญ่ขนาดนี้?
จีนครองตลาดและสร้างความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์
จีนเป็นประเทศที่หยิบ Rare Earth ขึ้นมาเป็นเครื่องมือต่อรองทางการเมืองระหว่างประเทศ ด้วยการประกาศควบคุมการส่งออก ไม่อนุญาตให้มีการส่งออกไปยังผู้ใช้ภาคกลาโหมต่างประเทศ และจะอนุมัติใช้กับ Semiconductor เป็นกรณี

ซึ่งในความจริงแร่หายากเหล่านี้มีกระจายอยู่ทั่วโลก หลายประเทศมีแหล่งสำรองแร่ที่ไม่น้อย อย่างเช่น จีนมีแหล่งสำรองคิดเป็น 49% ของโลก บราซิล 23% อินเดีย 8% ออสเตรเลีย 6% และสหรัฐฯ 2%
แต่สิ่งที่ทำให้จีนทิ้งห่างประเทศอื่นจนหยิบมาเป็นเครื่องมือต่อรองได้ในแบบที่แม้แต่น้ำมันดิบเองก็ทำไม่ได้ คือ กระบวนการแปรรูปแร่ Rare Earth ซึ่งจีนพัฒนามาตลอด 20-30 ปี ขณะที่ประเทศอื่นมองข้ามการพัฒนารวมถึงมีประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม ทำให้กระบวนการแปรรูปของเกือบทุกประเทศพัฒนาตามหลังจีนค่อนข้างมาก ทำให้จีนครองสัดส่วนการถลุงแร่ Rare Earth ถึง 92% และสัดส่วนการผลิตแร่แม่เหล็ก 98%
เมื่อสหรัฐฯ เจอจีนหยิบประเด็น Rare Earth ขึ้นมากดดันบนโต๊ะเจรจา และตอนนี้ต้องยอมไปก่อน แต่หลังจากนี้ถึงเวลาแล้วที่สหรัฐฯ ต้องลุกขึ้นมาสร้างความมั่นคงต่อ Rare Earth
การลงทุนที่สะท้อนกระแส Protectionism
แทบจะเป็นประเด็นแห่งชาติของสหรัฐฯ เลยทีเดียวสำหรับการสร้างความมั่นคงดังกล่าว ล่าสุดมีรายงานข่าวคณะทำงานรัฐบาลทรัมป์ร่วมมือกับกลุ่มนักลงทุนเอกชน (Private investors) ระดมเงิน $1.4 พันล้านดอลลาร์ เพื่อพัฒนาสินค้าระดับเทคโนโลยีขั้นสูงและกระบวนการแปรรูป Rare Earth
แถมเดินหน้าลงนาม MOU กับ 4 ประเทศ หวังลดการพึ่งพาแร่จากประเทศจีน สะท้อนภาพ Decoupling ในระยะยาว ด้วยเหตุนี้จึงส่งให้ราคาหุ้นอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับ Rare Earth ปรับตัวขึ้นแรง
แต่ความผันผวนสูง ยังมีข้อจำกัดอีกมาก
แม้ข่าวจะดูดีสำหรับกลุ่มบริษัทแร่ Rare Earth ในสหรัฐฯ และประเทศนอกเหนือจากจีน อย่างไรก็ตามปัจจัยหนุนจาก Sentiment ระยะสั้นได้หายไป หลังจีนระงับมาตรการควบคุมการส่งออก Rare Earth ไปสหรัฐฯ เป็นเวลา 1 ปี แลกดีลภาษีการค้าจากฝั่งสหรัฐฯ
นอกจาก Sentiment ระยะสั้นแล้ว การพัฒนากระบวนการแปรรูปต้องใช้เวลาและองค์ความรู้อีกมาก รวมไปถึงมีข้อจำกัดด้านสิ่งแวดล้อม สรุปได้เป็น 4 ข้อหลักดังนี้:
-
ข้อจำกัดด้านสารเคมี: แม้จะมองว่าเป็นสารเคมี แต่จีนใช้เวลามานานเพื่อพัฒนาองค์ความรู้ด้านสารเคมีที่นำมาใช้เพื่อสกัด Rare Earth ออกจากดินและหิน ซึ่งมีความเฉพาะเจาะจงหลังชาติตะวันตกลดความสนใจ และขายเทคโนโลยีให้จีน ทำให้ชาติตะวันตกไม่มีองค์ความรู้ที่เป็นปัจจุบันเลย
-
ความเชี่ยวชาญในกระบวนการผลิต: กระบวนการสกัดแร่ด้วยกรดไนตริก ซึ่งบริษัท Solvay สัญชาติเบลเยียม-ฝรั่งเศส ขายให้จีนเมื่อปี 1980 แต่จีนพัฒนาต่อจนหันมาใช้กระบวนการสกัดด้วยกรดไฮโดรคลอริก และไม่ขายเทคโยโลยีดังกล่าวให้ต่างชาติ
-
เวลา: ต่อให้ได้เทคโนโลยีมาแล้วก็ตาม แต่การสร้างโรงงานสกัดใช้เวลาราว 3 ปี และอีก 2 ปี เพิ่มปริมาณสกัดแร่จนถึงจุดที่กำลังการผลิตถึงระดับเต็มที่
-
สิ่งแวดล้อม: ผลกระทบจากกระบวนการสกัดตามมาอีกเพียบ ไม่ว่าจะเป็นของเสียแร่โลหะหนัก น้ำเสีย มลพิษทางอากาศและดิน รวมถึงใช้พลังงานสูง
ดังนั้นกว่าจะ Decoupling อย่างสมบูรณ์ ยังมีความเสี่ยงพร้อมสร้างความผันผวนอีกมากมายไม่ว่าจะเป็นปัจจัยระยะสั้น กลาง และยาว ซึ่งมีทั้งด้านการเมือง วิศวกรรม และด้านการเงิน
ทางเลือกลงทุนแบบ Pure Play
หากท่านรับความเสี่ยงและความผันผวนได้ รวมทั้งมองเห็นโอกาสจากทิศทางการ Decoupling สามารถแบ่งเงินลงทุนตามที่รับความเสี่ยงได้มาลงทุนผ่านกองทุน DAOL-RARE ซึ่งลงทุนในกองทุนหลัก VanEck Rare Earth and Strategic Metals ETF กองทุน Rare Earth ETF ที่มุ่งเน้นสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับ ดัชนี MVIS Global Rare Earth/Strategic Metals Index ซึ่งเป็นดัชนีที่สะท้อนผลการดำเนินงานของบริษัที่เกี่ยวข้องกับการผลิต (Producing) การกลั่น (Refining) การรีไซเคิล (Recycling) แร่หายาก (Rare Earth) และ โลหะเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Metals)
Rare Earth เป็นวัตถุดิบเชิงยุทธศาสตร์ที่มีอิทธิพลต่ออุตสาหกรรมและการเมืองโลกอย่างมาก แม้หลายประเทศจะมีแหล่งสำรองแร่ แต่จีนเป็นผู้ครอบครองกระบวนการแปรรูปและการผลิตหลักของโลก ทำให้สามารถใช้ Rare Earth เป็นเครื่องมือต่อรองทางการเมือง สหรัฐฯ และพันธมิตรจึงเร่งลงทุนและพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อสร้างความมั่นคงและลดการพึ่งพาจีน อย่างไรก็ตาม การลงทุนใน Rare Earth ยังมีความเสี่ยงและข้อจำกัดหลายด้าน ทั้งด้านเทคโนโลยี เวลา และสิ่งแวดล้อม นักลงทุนที่สนใจควรประเมินความผันผวนและเลือกลงทุนผ่านกองทุนที่เน้นกลุ่ม Rare Earth และโลหะเชิงยุทธศาสตร์เพื่อกระจายความเสี่ยง
ขอขอบคุณข้อมูลจาก: BBC,Goldman Sachs,กรุงเทพธุรกิจ