-
ในเดือนต.ค. Bond Yield ไทยยังคงเร่งตัว ส่งผลให้กองทุนตราสารหนี้ K-FIXED-A และ K-FIXEDPLUS ทำผลตอบแทนติดลบต่อเนื่องจากเดือนก.ย.
-
ผู้จัดการกองทุน KASSET มองว่าในระยะข้างหน้าความผันผวนในตลาดตราสารหนี้อาจมีเพิ่มมากขึ้น โดยยิ่งเข้าใกล้จุดสิ้นสุดของวัฏจักรการลดดอกเบี้ยเท่าไหร่ Bond Yield จะยิ่งมีความผันผวน อย่างไรก็ตามแนวโน้มของอัตราดอกเบี้ยยังเป็นขาลงในระยะข้างหน้า ทำให้ Bond Yield ยังมีโอกาสกลับมาปรับลดลงได้
-
ดังนั้น 1) สำหรับนักลงทุนที่กำลังถือครองกองทุนตราสารหนี้ ใช้เวลาสักหน่อยจะช่วยข้ามผ่านความผันผวนในระยะสั้นไปได้ 2) สำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนเพิ่มเติม กองทุนตราสารหนี้ยังเป็นตัวช่วยกระจายความเสี่ยงที่ดีของพอร์ตการลงทุน แต่ก็ต้องยอมรับว่า ผลตอบแทนในปีหน้าอาจไม่ได้สูงเท่าปี 2568
Bond Yield สหรัฐฯ ปรับตัวลดลงเล็กน้อยในเดือนต.ค.
ในเดือนต.ค. Bond Yield สหรัฐฯ ปรับตัวลดลง โดย US Bond Yield 2 ปีปรับตัวลดลงจาก 3.6% เป็น 3.57% และUS Bond Yield 10 ปีปรับตัวลดลงจาก 4.15% มาอยู่ที่ 4.07% จากการเปิดเผยข้อมูลคาดการณ์เศรษฐกิจออกมาอ่อนแอกว่าคาด นอกจากนี้ นักลงทุนบางส่วนมีความกังวลต่อปัญหาสินเชื่อ หลังมีการล้มละลายของ 2 บริษัท คือ Zions Bancorp และ Western Alliance Bancorp เมื่อรวมกับความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน และประเด็น Government Shutdown ที่ยังคงอยู่ ทำให้นักลงทุนบางส่วนเริ่มลดความเสี่ยงของพอร์ตลงและกลับเข้าซื้อพันธบัตร ส่งผลให้ Bond Yield ปรับตัวลง อย่างไรก็ตาม หลังการประชุม Fed ช่วงปลายเดือนต.ค. Bond Yield กลับมาเร่งตัว โดย Bond Yield 10 ปี เริ่มกลับมาเร่งตัวเหนือ 4% แม้ Fed ลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ตามคาด แต่ผประธานน Fed คุณ Jerome Powel’ ส่งสัญญาณถึงความไม่แน่นอนในการลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนธ.ค. ซึ่ง K WEALTH มองว่าในครั้งนี้ คุณ Powell พยามลดทอนความคาดหวังของตลาดที่มากเกินไปก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตามจาก Dot Plot ล่าสุดสะท้อนว่าปีหน้า Fed ยังมีแนวโน้มลดอัตราดอกเบี้ยอีก 1 ครั้ง อีกทั้งตลาดแรงงานที่ยังอ่อนแอ ประกอบกับการยุติลงของ Government Shutdown คาดจะช่วยลดแรงกดดันต่อ Bond Yield ในระยะข้างหน้าลงได้
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรไทยเริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น

-
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรไทย (Thai Bond Yield) เริ่มผันผวนมากขึ้นและเร่งตัวนับตั้งแต่เดือนก.ย.เป็นต้นมา ในเดือนต.ค. อัตราผลตอบแทนพันธบัตรไทยเร่งตัวในทุกช่วงอายุ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรไทยอายุ 2 ปี เร่งตัวจาก 1.15% มาอยู่ที่ 1.3% ในสิ้นเดือนต.ค. และ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรไทยอายุ 10 ปี เร่งตัวจาก 1.29% มาอยู่ที่ 1.70% ในสิ้นเดือนต.ค.
หลังกนง.มีมติไม่เป็นเอกฉันท์ คงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิม 1.50% หลังจากได้ปรับลดลง 0.25% ในการประชุมรอบก่อนหน้าเมื่อเดือน ส.ค. แม้กรรมการบางส่วนสนับสนุนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติม เนื่องจากเศรษฐกิจไทยเริ่มส่งสัญญาณชะลอตัวลง แต่กรรมการส่วนใหญ่ยังเห็นชอบให้คงดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อรอดูผลจากการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายในช่วงก่อนหน้า และเก็บกระสุนนโยบายการเงินไว้ใช้ในจังหวะเหมาะสม นอกจากนี้ Bond Yield ของไทยที่เร่งตัวชึ้น ยังเป็นผลจากพันธบัตรใหม่ที่ออกสู่ตลาดจำนวนมากในเดือนต.ค.ท่ามกลางความต้องการซื้อ (demand) ที่อ่อนแอ
-
มองไปข้างหน้าพันธบัตรไทยมีแนวโน้มมีเสถียรภาพดีขึ้น เนื่องจาก
- พันธบัตรรัฐบาลไทยเริ่มกลับมาน่าสนใจในสายตาของนักลงทุนต่างชาติ หลังจากที่ราคาปรับตัวลงแรงในเดือนต.ค. โดยนักลงทุนต่างชาติเริ่มทยอยสะสมพันธบัตรไทยในเดือนพ.ย. ทำให้ขณะนี้ Bond Yield ของไทยมีเสถียรภาพมากขึ้น ไม่พุ่งมากจนเกินไปหากในอนาคตรัฐบาลจะต้องออกพันธบัตรเพิ่มเติมเพื่อระดมทุนในโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ
- เงินเฟ้อไทยติดลบต่อเนื่องและแนวโน้มเศรษฐกิจที่ยังซบเซา แม้ว่ากระทรวงการคลังมีการปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP ปีนีเป็น 2.4% จากเดิม 2.2% แต่ไม่ใช่ทุกสำนักที่คาดการณ์ถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย โดยนักวิเคราะห์จาก Bloomberg ยังประเมินว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวเพียง 2.1% ในปีนี้ และลดลงเหลือ 1.8% ในปีหน้า ทำให้ตลาดมองว่ากนง.จะต้องลดดอกเบี้ยในระยะข้างหน้าเพื่อรับมือกับเศรษฐกิจที่อ่อนแอ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่ากนง. จะพิจารณาปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.25% ในการประชุมเดือนธ.ค. 68 และ คาดว่ากนง. อาจปรับลดดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติมในช่วงครึ่งแรกของปี 2569 เพื่อสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจ นั่นหมายความว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยจะอยู่ที่ 1% ในต้นปีหน้า ทำให้ Policy Space หรือรูมในการลดดอกเบี้ยอีกเหลือค่อนข้างหน่อย ขณะที่ Fed ก็อาจลดอัตราดอกเบี้ยในปีหน้าอีกแค่ 1 ครั้ง ทำให้โอกาสที่กนง.จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยต่อไปอีกในครึ่งปีหลัง 2569 คงเป็นไปได้ยาก ทั้งนี้ยังคงต้องจับตาพัฒนาการของเศรษฐกิจซึ่งจะเป็นตัวบ่งชี้ถึงทิศทางแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในอนาคต
กองทุนตราสารหนี้ได้รับผลกระทบระยะสั้นในเดือนก.ย.-ต.ค.
จากอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond Yield) ที่เร่งตัวขึ้น โดยเฉพาะในพันธบัตรระยะยาวของไทย ส่งผลให้กองทุนตราสารหนี้ระยะกลาง-ยาว อย่าง K-FIXED-A และ K-FIXEDPLUS-A ทำผลตอบแทนติดลบต่อเนื่องจากเดือนก.ย. โดยในเดือนต.ค. K-FIXED-A -0.95% และ K-FIXEDPLUS-A -0.77% สำหรับกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นยังคงมีผลตอบแทนเป็นบวกต่อเนื่องตลอดทั้งปี K-SF-A +0.07% และ K-SFPLUS-A +0.02%
อย่างไรก็ตาม ผลตอบแทนนับจากต้นปี (YTD) ยังถือว่าทำผลตอบแทนได้โดดเด่น โดยมีผลตอบแทนดังนี้
- K-SF-A +1.52%
- K-SFPLUS-A +1.71%
- K-FIXED-A +2.96%
- K-FIXEDPLUS +3.36%
คำแนะนำในการลงทุน
กองทุนตราสารหนี้ในช่วงนี้อาจเผชิญความผันผวนที่มากขึ้นสักหน่อย เนื่องจากเรากำลังเข้าใกล้จุดสิ้นสุดของการลดอัตราดอกเบี้ย
-
สำหรับนักลงทุนที่ถือครองกองทุนตราสารหนี้อยู่ เรามองว่าเป็นความผันผวนระยะสั้น ในระยะข้างหน้า Bond Yield ยังมีโอกาสปรับลดลง อย่างไรก็ตามความผันผวนของ Bond Yield อาจกลับมาเป็นระยะ ดังนั้นสำหรับนักลงทุนที่ถือครองกองทุนตราสารหนี้อยู่ อาจจะต้องใช้ระยะเวลาการถือครองที่ยาวขึ้นจะช่วยลดความผันผวนในช่วงสั้นๆ นี้ลงได้
-
สำหรับนักลงทุนที่ยังไม่มีกองทุนตราสารหนี้หรือต้องการลงทุนเพิ่ม ยังสามารถลงทุนได้ โดยผู้จัดการกองทุนตราสารหนี้ KASSET มองว่ากองทุนตราสารหนี้จะยังให้ผลตอบแทนที่ดีได้ในช่วง 1 ปีข้างหน้า อย่างไรก็ตามต้องยอมรับว่าผลตอบแทนอาจไม่ได้สูงเหมือนปี 2568 เนื่องจากในปี 2568 กองทุนตราสารหนี้ได้ประโยชน์ทั้งจากอัตราดอกเบี้ยในตลาดที่อยู่ระดับสูง และ Bond Yield ที่มีการปรับตัวลง