หลายคนอาจสงสัยว่า
ทำไมช่วงนี้ผลตอบแทนกองทุนตราสารหนี้ไทยจึง “ติดลบ” ทั้งที่ลงทุนในตรำสำรหนี้ ซึ่งมักเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย?
สิ่งที่กดดัน NAV ของกองทุนตราสารหนี้ในรอบนี้ ไม่ได้มาจากปัจจัยเครดิต หรือความเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้ แต่เกิดจากการขยับขึ้นของอัตราผลตอบแทนของพันธบัตร (Bond Yield) ตามการคาดการณ์ของตลาดว่า กนง. อาจเลื่อนการลดดอกเบี้ยออกไป
ทำไมแค่ตลาด “คาดว่า กนง. จะเลื่อนการลดดอกเบี้ยออกไป” ถึงทำให้ Yield ขึ้น?
ตลาดพันธบัตรทำงานเหมือน “กระจกสะท้อนความคาดหวังของอัตราดอกเบี้ยในอนาคต” นักลงทุนไม่ได้ดูแค่ดอกเบี้ยวันนี้ แต่จะมองไปข้างหน้าว่าอีก 6 เดือน ถึง1 ปีข้างหน้า ดอกเบี้ยจะอยู่ระดับไหน
ก่อนหน้านี้ นักลงทุนจำนวนมากมองว่า ธปท. น่าจะลดดอกเบี้ยลงเหลือ 1.25% ภายในปี 2025 นี้ (อัตราดอกเบี้ยนโยบายปัจจุบัน ณ สิ้นเดือนต.ค. อยู่ที่ 1.50%) และคาดว่าจะลดอีก 1 ครั้งในต้นปี 2026 แต่เมื่อฝ่ายนโยบายส่งสัญญาณว่า “ยังไม่รีบลด” ตลาดจึงปรับมุมมองใหม่ว่า ดอกเบี้ยจะอยู่สูงต่อไปอีกระยะ โดยบางส่วนคาดว่าการลดดอกเบี้ยในครั้งต่อไป อาจเลื่อนไปถึงช่วงการเลือกตั้งใหม่ในปีหน้า
เมื่อดอกเบี้ยในตลาดจะยัง "สูงต่อเนื่อง" พันธบัตรเดิมที่ให้ดอกเบี้ยต่ำกว่า จึง “ดูไม่คุ้มค่า” อีกต่อไป นักลงทุนบางส่วนจึงขายออก ส่งผลให้ราคาพันธบัตรปรับลดลง และเมื่อราคาลดลง Yield (ผลตอบแทน) ก็จะ “ขยับขึ้น” โดยอัตโนมัติ แม้ กนง. ยังไม่ได้ลดดอกเบี้ยจริง ๆ แต่เพียงแค่ตลาด “คาดการณ์ว่าจะเลื่อนเวลาออกไป” ก็ส่งผลให้ Yield ปรับขึ้น และทำให้ NAV ของกองทุนตราสารหนี้ “ย่อ” ลงมา
ทำไมรู้สึกว่ารอบนี้ราคากองตราสารหนี้ย่อลึกกว่าปกติ?
หากดูจากกราฟ (NAV ของกอง K-FIXED-A เส้นสีขาว – Drawdown สีแดง) จะเห็นว่า ช่วงเดือนก.ย.–ต.ค. 2025 NAV ปรับลงราว –1.4% แม้จะแรงกว่าค่าเฉลี่ยระยะสั้น แต่ยังอยู่ในกรอบความผันผวนปกติของตลาดตราสารหนี้ไทยในอดีต เช่น ปี 2018, 2020 หรือ 2022 ที่เคยเจอแรงกดคล้ายกันในช่วงที่ Yield ปรับขึ้นเร็ว ก่อนกลับมาฟื้นในภายหลัง
ที่มา : Bloomberg
สาเหตุหลักครั้งนี้ไม่ได้มาจากปัจจัยเครดิต แต่มาจาก “แรงกดด้าน Yield” ที่เกิดขึ้นพร้อมกันหลายทาง ดังนี้
-
Market Expectation Adjustment – ตลาดปรับลดความคาดหวังการลดดอกเบี้ยของ ธปท. ในระยะสั้น เดิมนักลงทุนจำนวนมากมองว่าดอกเบี้ยอาจลงไปถึงระดับ 0.75–1.00% ซึ่งภายหลังถูกมองว่า เป็นระดับที่ต่ำเกินจริง ทำให้ตลาดต้องปรับสมมติฐานขึ้นใหม่ ส่งผลให้ Yield พันธบัตรขยับขึ้น
-
Seasonal Effect – ช่วงปลายปีเป็นช่วงที่เทรดเดอร์ขายทำกำไร (Lock profit) เพื่อรับรู้ผลตอบแทนที่สะสมมาตั้งแต่ต้นปี ขณะเดียวกัน กองทุนสวัสดิการและกองบำนาญก็มีรอบจ่ายเงินคืนผู้ถือหน่วย จึงเกิดแรงขายชั่วคราว และ ไม่มีแรงซื้อใหม่เข้ามารับช่วงต่อ
-
Sentiment จากนโยบายเศรษฐกิจและแรงขายในประเทศ – มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นของภาครัฐ ที่ต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก ซึ่งรัฐบาลอาจต้องกู้เพิ่มผ่านการออกพันธบัตรใหม่ อาจส่งผลกระทบด้านการคลัง ทำให้หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้น ความสามารถในการใช้นโยบายในอนาคตลดลง กดดันความเชื่อมั่นในระยะยาว ส่งผลให้มีแรงขายและชะลอการเข้าซื้อ เพื่อรอดูทิศทางนโยบายให้ชัดเจนก่อน
ปัจจัยข้างต้นส่งผลให้ในเชิงมูลค่า (Valuation) พันธบัตรไทยเริ่มกลับมาน่าสนใจ ทำให้นักลงทุนต่างชาติกลับเริ่มเข้าซื้อในช่วง 2–3 สัปดาห์ล่าสุด หลัง Yield ปรับสูงจนระดับผลตอบแทนดูน่าดึงดูดใจอีกครั้ง
หากกองทุนตราสารหนี้ที่ถืออยู่ “ติดลบ” แล้วเมื่อไหร่จะ “คืนทุน”?
เวลาที่กองทุนตราสารหนี้ติดลบ หลายคนอยากรู้ว่า “ต้องรอนานแค่ไหนถึงจะกลับมาเท่าทุน?” คำตอบอยู่ที่ 3 ตัวแปรหลักร่วมกัน คือ
-
รายได้จากดอกเบี้ยในพอร์ต (Yield to Maturity; YTM) คือผลตอบแทนต่อปีที่กองทุนได้รับจากพันธบัตรที่ถืออยู่ ถ้าถือพันธบัตรจนถึงวันครบกำหนด ซึ่งจะค่อย ๆ เติมกลับเข้ามาใน NAV ทุกวัน
-
การเปลี่ยนแปลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Yield Movement)
เมื่อ Yield ในตลาด “ขึ้น” ราคาพันธบัตรจะ “ลดลง”
และเมื่อ Yield “ลง” ราคาพันธบัตรจะ “ปรับขึ้น”
-
อายุเฉลี่ยของตราสาร หรือ Duration ของกองทุน – ถ้า Duration ยิ่งยาว จะมีความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของ Yield มากขึ้น
ผลกระทบต่อราคา (ประมาณ) = Duration × อัตราการเปลี่ยนแปลงของ Yield
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนมากขึ้น ขอยกตัวอย่าง ข้อมูลของกองทุนตราสารหนี้ บางกองทุน มาใช้ประกอบการอธิบายเบื้องต้น เช่น
K-FIXED-A: YTM 1.54%, Duration 4.2 ปี (ข้อมูล ณ 30 ก.ย. 2025)
K-FIXEDPLUS-A: YTM 1.38%, Duration 3.4 ปี (ข้อมูล ณ 30 ก.ย. 2025)
สมมติว่าพอร์ตปัจจุบัน ติดลบ 1% กองทุนจะใช้ระยะเวลาแค่ไหน จึงจะกลับมาคืนทุน
กองทุน
|
Yield ไม่เปลี่ยนแปลง
| Yield เพิ่มขึ้น +0.25%
| Yield ลดลง -0.25%
|
K-FIXED-A
| ~8 เดือน
| ~16 เดือน
| ~1 เดือน
|
K-FIXEDPLUS-A
| ~9 เดือน
| ~16 เดือน
| ~1-2 เดือน
|
ระยะเวลาคืนทุน
| = จำนวน % ที่ขาดทุน ÷ (YTM/12)
|
|---|
กองทุน K-FIXED-A กรณี Yield ไม่เปลี่ยนแปลง
| |
ระยะเวลาคืนทุน
| = -1% / (1.54%/12)
|
|---|
| = 0.01/0.001283
|
|---|
| = 7.79 เดือน หรือประมาณ 8 เดือน (ปัดขึ้น)
|
กองทุน K-FIXED-A กรณี Yield เพิ่มขึ้น +0.25%
|
|
ผลต่อราคา
| = 4.2 x 0.25%
|
| = -1.05%
|
ระยะเวลาคืนทุน
| = (-1% + (-1.05%)) / (1.54%/12)
|
| = 0.0205 / 0.001283
|
| = 15.98 เดือน หรือประมาณ 16 เดือน (ปัดขึ้น)
|
กองทุน K-FIXED-A กรณี Yield ลดลง -0.25%
| |
ผลต่อราคา
| = 4.2 x 0.25%
|
| = +1.05%
|
| = +1.05%
|
ระยะเวลาคืนทุน
| = (-1% + 1.05%) / (1.54%/12)
|
| = 0.0005 / 0.001283
|
หมายเหตุ : ประมาณการผลตอบแทนและระยะเวลาการคืนทุนที่ปรากฎเป็นเพียงการคำนวนจากข้อมูลและสมมุติฐานในปัจจุบัน เพื่อช่วยให้นักลงทุนสามารถประมาณการเบื้องต้นได้ ไม่ได้เป็นการรับประกันผลตอบแทนจริงในอนาคต ผู้ลงทุนควรพิจารณาความเสี่ยงและเงื่อนไขการลงทุนอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน
สรุป
- กรณี Yield ทรงตัว อาจใช้ระยะเวลาเฉลี่ย 8 เดือน ดอกเบี้ยที่สะสมในพอร์ต (YTM) จะค่อย ๆ ชดเชยผลขาดทุน
- กรณี Yield ปรับขึ้น +0.25% (ราคา หรือ NAV ปรับลงเพิ่ม) อาจใช้ระยะเวลานานขึ้น เพื่อให้รายได้ดอกเบี้ยชดเชยผลขาดทุน
- กรณี Yield ปรับลง -0.25% (ราคา หรือ NAV ปรับตัวขึ้น) อาจคืนทุนได้ในระยะเวลาที่สั้นลง
- กองทุนที่มี Duration ยาว จะได้รับผลกระทบจาก Yield มากกว่ากองทุนที่มี Duration สั้น แต่หากถือยาวจน Yield ทรงตัวหรือเริ่มลดลง ก็มักฟื้นตัวได้แรงกว่าเช่นกัน
มุมมองการลงทุน
จากปัจจัยที่กล่าวไปก่อนหน้า มองว่าการปรับฐานของกองทุนตราสารหนี้ในรอบนี้เป็นเพียง จังหวะย่อตาม Yield มากกว่าจะเป็นสัญญาณลบเชิงปัจจัยพื้นฐาน กองทุนตราสารหนี้ไทยของ KAsset ยังมีสถานะสภาพคล่องสูง และผู้จัดการกองทุนได้ทยอยปรับลด Duration ของตราสารหนี้ในพอร์ตลงต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ความผันผวนของราคาลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ขณะเดียวกันแรงขายที่เห็นในตลาดช่วงหลังยังอยู่ในระดับปกติ เป็นการไหลเข้า-ออกของเงินลงทุนตามฤดูกาล ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อ NAV อย่างมีนัยสำคัญ
นอกจากนี้ทิศทางดอกเบี้ยของไทยยังไม่กลับเข้าสู่รอบขาขึ้น และคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ยังมีแนวโน้มปรับลดดอกเบี้ยได้เพิ่มเติมหากภาวะเศรษฐกิจชะลอ ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond yield) ที่ปรับสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ได้ทำให้มูลค่าตราสาร (valuation) กลับมาน่าสนใจมากขึ้น
คำแนะนำ
สำหรับนักลงทุนที่ถือกองทุนอยู่และอาจเห็นพอร์ตติดลบจากการปรับตัวลงของ NAV หากถือครองตามกรอบเวลาการลงทุนที่แนะนำ กองทุนมักทยอยฟื้นคืนมาจากทั้งรายได้ดอกเบี้ย และ Yield ที่มีแนวโน้มปรับลงในระยะถัดไป
สำหรับนักลงทุนที่รอจังหวะเข้าลงทุน ช่วงเวลาปัจจุบันถือว่าเป็นช่วงที่ “Valuation น่าสนใจ” เพราะ Yield ที่สูงขึ้นช่วยเปิดโอกาสสร้างผลตอบแทนในระยะถัดไปได้ดีกว่าเดิม การทยอยลงทุนในช่วงนี้จึงเหมาะทั้งสำหรับผู้ที่ต้องการเริ่มลงทุนใหม่ และผู้ที่ต้องการเฉลี่ยต้นทุนจากพอร์ตเดิม
K-SF-A: ลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐและเอกชน ระยะสั้นทั้งในและต่างประเทศ สภาพคล่องสูง แนะนำลงทุน 3 เดือนขึ้นไป
K-SFPLUS-A: ลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐและเอกชน ระยะสั้น ทั้งในและต่างประเทศ สภาพคล่องสูง แนะนำลงทุน 6 เดือนขึ้นไป
K-FIXED-A: ลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐและเอกชน ระยะกลาง-ยาว ในประเทศเท่านั้น แนะนำลงทุน 1 ปีขึ้นไป
K-FIXEDPLUS-A: ลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐและเอกชน ระยะกลาง-ยาว ทั้งในและต่างประเทศ แนะนำลงทุน 1 ปีขึ้นไป