ตลาดหุ้นเอเชียร่วงต่อเนื่องจากแรงขายหุ้นกลุ่มเทค–AI ท่ามกลางความกังวลมูลค่าที่ตึงตัว ขณะตลาดจับตางบ NVIDIA และความไม่ชัดเจนของทิศทาง BOJ หลังค่าเงินเยนอ่อนและบอนด์ยีลด์พุ่ง กดดันตลาดญี่ปุ่นร่วงแรงนำภูมิภาค

ประเด็นร้อน: ความกังวลฟองสบู่ AI ตบหุ้นเอเชียร่วงยกแผง

ตลาดหุ้นเอเชียร่วงต่อเนื่องจากแรงขายหุ้นกลุ่มเทค–AI ท่ามกลางความกังวลมูลค่าที่ตึงตัว ขณะตลาดจับตางบ NVIDIA และความไม่ชัดเจนของทิศทาง BOJ หลังค่าเงินเยนอ่อนและบอนด์ยีลด์พุ่ง กดดันตลาดญี่ปุ่นร่วงแรงนำภูมิภาค

กดฟัง
หยุด
https://10.227.72.64:2578/th/kwealth/PublishingImages/KWEALTH-2025_K-Wealth-Content-Web-Banner_1440x501.jpg
  • หุ้นเอเชียร่วงต่อเนื่องจากแรงขายกลุ่มเทค–AI และความกังวลต่อมูลค่าที่ร้อนแรงเกินไป ขณะตลาดรอติดตามผลประกอบการ NVIDIA
  • ญี่ปุ่นนำดิ่งจากค่าเงินเยนอ่อน–Bond Yield พุ่ง และความไม่ชัดเจนของทิศทาง BOJ ทำตลาดผันผวนระยะสั้น
  • หากยังไม่มีสัดส่วนการลงทุนในญี่ปุ่นที่ตลาดปรับลงแรง แนะนำกระจายการลงทุนไปลงกองทุนแนะนำอื่น เช่น K-WealthPLUS Series หากรับความเสี่ยงได้สูง แนะนำ K-GSELECT และหากรับความเสี่ยงได้ต่ำ แนะนำพักเงินในกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น K-SFPLUS-A

Market Update

วันที่ 18 พ.ย. 2568 ตลาดหุ้นเอเชียร่วงแรงต่อเนื่องเป็นวันที่ 3 ติดต่อกัน โดยบรรยากาศถูกกดดันจาก 3 ปัจจัยหลัก:

  1. ความกังวลมูลค่าที่ตึงตัวของหุ้นกลุ่ม AI ขณะที่ตลาดรอติดตามผลประกอบการของ NVIDIA
  2. ความเสี่ยงด้านการเมือง โดยเฉพาะความตึงเครียดระหว่างจีน-ญี่ปุ่น
  3. แรงกดดันจากฝั่งมหภาคของญี่ปุ่น จากนโยบายผ่อนคลายทางการคลังขนาดใหญ่ ส่งผลให้ค่าเงินเยนอ่อนค่าแรง

ด้านตลาดหุ้นญี่ปุ่น นักลงทุนกำลังจับตาการประชุมระหว่างนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น Takaichi และผู้ว่า BOJ ว่าจะมีสัญญาณชะลอขึ้นดอกเบี้ยหรือไม่ ท่ามกลางแรงกดดันจากค่าเงินเยนที่อ่อนค่า และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 20-30 ปีที่พุ่งแตะระดับสูงสุดรอบหลายสิบปี ซึ่งอาจส่งผลต่อความสามารถในการชำระดอกเบี้ยของรัฐบาลญี่ปุ่น


ดัชนีและกองทุนที่เกี่ยวข้อง (ข้อมูล ณ 18 พ.ย. 2568 เวลา 11:17 จาก investing.com)

  • Nikkei 225 -2.6%
  • Topix -2.42%
  • Hang Seng -1.5%
  • KOSPI -3.06%
  • USDJPY 155

มุมมองตลาด

แรงขายในกลุ่มเทคโนโลยีสะท้อนความเสี่ยงเชิงจิตวิทยาจากการประเมินมูลค่าหุ้นกลุ่ม AI ที่เริ่มร้อนแรงเกินไป แม้จะยังไม่มี “เหตุการณ์ฟองสบู่แตก” แต่เริ่มเห็นนักลงทุนเทขายทำกำไรมากขึ้น


กรณีของญี่ปุ่น จากการใช้จ่ายภาครัฐขนาดใหญ่ที่อาจกระทบเสถียรภาพหนี้ และค่าเงินเยนที่อ่อนค่ามากกว่าที่ตลาดคาด ทำให้เกิดความผันผวนในตลาดระยะสั้น โดย K WEALTH จึงยังคงมุมมอง Neutral ต่อตลาดหุ้นญี่ปุ่น และแนะนำให้นักลงทุน “รอประเมินความชัดเจนเพิ่มเติมของทั้งการประชุมระหว่างรัฐบาลและ BOJ รวมถึงความขัดแย้งของญี่ปุ่น-จีน” หากมีการปรับฐานต่อเนื่องจนระดับราคาหุ้นเข้าสู่จุดที่เหมาะสมมากขึ้น อาจเป็นโอกาสสำหรับการทยอยเข้าสะสมในกลุ่มหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี


เช่นเดียวกับมุมมองต่อกลุ่มหุ้นเทคโนโลยี ที่ยังเป็น Neutral แม้การเติบโตจะมีความน่าสนใจ แต่ในระยะสั้นมีระดับ Valuation ที่สูง ทำให้มีความเปราะบางต่อข่าวความกังวล หรือผลประกอบการที่ออกมาต่ำกว่าคาด โดยมองว่าหากระดับมูลค่าลงมาสู่จุดที่เหมาะสมมากขึ้น อาจเป็นโอกาสสำหรับการทยอยเข้าสะสมในกลุ่มหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี มีอัตราการเติบโตเด่น ธุรกิจแข็งแกร่ง


คำแนะนำการลงทุน

  • สำหรับนักลงทุนที่ยังไม่มีสถานะการลงทุนในกองทุนหุ้นญี่ปุ่น แนะนำลงทุนในกองทุนแนะนำอื่น
  • สำหรับผู้ที่มีสถานะการลงทุนอยู่:
    • สำหรับนักลงทุนที่ยังไม่มีสถานะการลงทุนในกองทุนหุ้นญี่ปุ่น แนะนำลงทุนในกองทุนแนะนำอื่น
      • หากมีสัดส่วนน้อยกว่า 20% แนะนำถือต่อt
      • หากมีสัดส่วนมากกว่า 20% แนะนำทยอยลดสัดส่วนให้น้อยกว่า 20%
    • ผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง สามารถทยอยเข้าลงทุนในกองทุนแนะนำที่มีศักยภาพเติบโตระยะยาว เช่น:
      • K-INDIA: ประเทศเศรษฐกิจขยายตัวสูงอย่างอินเดีย ซึ่งกำลังรับอานิสงส์จากทั้งนโยบายการเงินผ่อนคลาย (ลดดอกเบี้ย) และการกระตุ้นทางการคลัง (ลดภาษีบริโภค)
      • K-GHEALTH: กลุ่ม Defensive เช่น Global Healthcare ที่ยังมี Valuation ต่ำ พร้อมแนวโน้มการเติบโตจาก Longevity trend
      • K-GSELECT: กองทุนหุ้นโลกที่เน้นคัดเลือกหุ้นคุณภาพ กระจายการลงทุนหลายภูมิภาค ลดความเสี่ยงจากการกระจุกตัว
      • K-ATECH: กองทุนหุ้นเทคโนโลยีเอเชีย เน้นกลุ่ม AI ที่มี Valuation และศักยภาพไม่ได้ด้อยกว่าสหรัฐฯ
    • ผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ปานกลางถึงต่ำ แนะนำทยอยเข้าลงทุนในกองทุนผสมที่มีการกระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสม ผ่านกองทุนผสมอย่าง K WealthPLUS Series เช่น K-WPSPEEDUP, K-WPBALANCED หรือกองทุนตราสารหนี้ K-FIXEDPLUS-A
    • ผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ แนะนำลงทุนในกองทุนตลาดเงินหรือตราสารหนี้ระยะสั้น เช่น K-SFPLUS-A
    • นักลงทุนที่ถือกองทุนหุ้นสัดส่วนเกิน 20% หรือมีกำไรมากกว่า 10% แนะนำทยอยขายทำกำไรบางส่วน (Take Profit) เพื่อล็อกผลตอบแทนและปรับพอร์ตให้สมดุล

    หมายเหตุ:
    • ระดับความเสี่ยงกองทุน
      • K-SFPLUS, K-FIXEDPLUS-A ความเสี่ยงกองทุนระดับ 4
      • K-WPSPEEDUP, K-WPBALANCED ความเสี่ยงกองทุนระดับ 5
      • K-GSELECT, K-INDIA-A(A), K-GHEALTH, K-ATECH: ความเสี่ยงกองทุนระดับ 6
    • นโยบายป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน
      • K-SFPLUS: ป้องกันความเสี่ยง 100% ของเงินลงทุนต่างประเทศ
      • K-FIXEDPLUS-A: ป้องกันความเสี่ยงมากกว่า 90% ของเงินลงทุนต่างประเทศ
      • K-INDIA-A(A), K-GHEALTH: ป้องกันความเสี่ยงไม่น้อยกว่า 75% ของเงินลงทุนต่างประเทศ
      • K-WPBALANCED, K-WPSPEEDUP, K-GSELECT, K-ATECH: ป้องกันความเสี่ยงตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน
    • ระยะเวลาการรับเงินค่าขายคืน (ตัวอย่างเช่น ระยะเวลาการรับเงินค่าขายคืน T+6 หมายถึง จะได้รับเงินค่าขายคืน 6 วันทำการถัดจากวันที่ทำรายการ (T+6) เช่น ขายคืนวันจันทร์ จะได้รับเงินค่าขายคืนวันอังคารของสัปดาห์ถัดไป (กรณีไม่มีวันหยุดอื่น นอกจากเสาร์-อาทิตย์))
      • K-SFPLUS: T+1
      • K-FIXEDPLUS-A: T+2
      • K-GSELECT: T+3
      • K-INDIA-A(A), K-GHEALTH, K-ATECH: T+4
      • K-WPBALANCED, K-WPSPEEDUP: T+6
  • คำเตือน


    ผู้เขียน

    CIO Office at K WEALTH

    Back to top