-
เดือนพ.ย. ต่อเนื่องถึงต้นเดือนธ.ค. Bond Yield ทั้งสหรัฐฯ และไทยเริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น หลังเริ่มเคลื่อนไหวในกรอบแคบลง
-
แม้ตลาดยังเผชิญความไม่แน่นอนจากท่าทีของ Fed ขณะที่ปีหน้ากนง.จะเริ่มมี Policy Space จำกัด แต่แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในระยะ 6–12 เดือนข้างหน้ายังมีโอกาสปรับลดลงได้อีก
-
กองทุนตราสารหนี้ยังคงเป็นเครื่องมือช่วยกระจายความเสี่ยงของพอร์ต โดยเฉพาะในช่วงที่สินทรัพย์เสี่ยงยังมีความผันผวน อย่างไรก็ตาม ผลตอบแทนในปีหน้าอาจอยู่ในระดับปานกลางไม่สูงเท่าปีนี้ ดังนั้นควรเน้นการลงทุนแบบทยอยสะสม
Bond Yield สหรัฐฯ ทรงตัวรอความชัดเจนนโยบาย Fed
ในเดือนพ.ย. Bond Yield สหรัฐฯ เคลื่อนไหว sideway และปรับลดลงเล็กน้อยตามความคาดหวังการลดดอกเบี้ยของ Fed ขณะที่ช่วงปลายเดือนพ.ย. ไปจนถึงต้นเดือน ธ.ค. เริ่มเร่งตัวขึ้น โดยนักวิเคราะห์ต่างคาดการณ์ว่าการลดอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้ของ Fed จะเป็นการลดอัตราดอกเบี้ยแบบ “Hawkish Cut” คือการลดอัตราดอกเบี้ย แต่ก็ยังไม่พูดถึงการลดอัตราดอกเบี้ยในอนาคต เหมือนที่ Fed เคยทำในเดือนต.ค.
ในเดือนพ.ย. Bond Yield สหรัฐฯ เคลื่อนไหว sideway และปรับลดลงเล็กน้อยตามความคาดหวังการลดดอกเบี้ยของ Fed ขณะที่ช่วงปลายเดือนพ.ย. ไปจนถึงต้นเดือน ธ.ค. เริ่มเร่งตัวขึ้น โดยนักวิเคราะห์ต่างคาดการณ์ว่าการลดอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้ของ Fed จะเป็นการลดอัตราดอกเบี้ยแบบ “Hawkish Cut” คือการลดอัตราดอกเบี้ย แต่ก็ยังไม่พูดถึงการลดอัตราดอกเบี้ยในอนาคต เหมือนที่ Fed เคยทำในเดือนต.ค.
- US Bond Yield อายุ 2 ปี เคลื่อนไหวในกรอบ 3.46-3.61%
- US Bond Yield อายุ 10 ปี เคลื่อนไหวในกรอบ 3.99-4.16%
การที่ Bond Yield สหรัฐฯ ชะลอความผันผวนลง สะท้อนว่าตลาดเริ่มซึมซับปัจจัยลบไปพอสมควรแล้ว ทั้งความเสี่ยงเศรษฐกิจโลก การค้าระหว่างประเทศ และแนวโน้มหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ
สำหรับการประชุม Fed ในวันที่ 9-10 ธ.ค. มีแนวโน้มค่อนข้างสูงที่ Fed จะลดอัตราดอกเบี้ย จาก CME Fed Watch tool ณ วันที่ 9 ธ.ค. คาดว่ามีโอกาส 87% ที่ Fed จะลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ตลาดจับตาคือท่าทีการสื่อสารของ คุณเจอโรม พาวเวล ต่อทิศทางของอัตราดอกเบี้ยในอนาคตรวมถึง Dot plot ว่าจะเปิดทางลดอัตราดอกเบี้ยในปีหน้ามากน้อยเพียงใด ตลาดคาดว่าการลดอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้จะเป็นการลดอัตราดอกเบี้ยแบบ Hawkish Cut ซึ่งหมายความว่าคุณ เจอโรม พาวเวลน่าจะหลีกเลี่ยงการส่งสัญญาณการลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนม.ค. ซึ่งจะเป็นภาพเดียวกับเดือนต.ค.ที่ Fed ลดอัตราดอกเบี้ยแต่มีท่าที Hawkish ดังนั้นภาพรวมตลาดตราสารหนี้สหรัฐฯ ยังอยู่ในโหมดรอความชัดเจน โทนการสื่อสารของ คุณเจอโรม พาวเวล จะเป็นตัวกำหนดทิศทางของ Bond Yield ในช่วงข้างหน้า
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรไทยเริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยในช่วงปลายปีเริ่มเคลื่อนไหวอย่างมีเสถียรภาพ หลังเผชิญแรงกดดันจากปริมาณการออกพันธบัตรจำนวนมากก่อนหน้า
- อัตราผลตอบแทนพันธบัตรไทยอายุ 2 ปี ปรับตัวลดลงจาก 1.32% ในสิ้นเดือนต.ค.มาอยู่ที่ 1.2% ในวันที่ 8 ธ.ค.
- อัตราผลตอบแทนพันธบัตรไทยอายุ 10 ปี ปรับตัวลดลงจาก 1.73% ในสิ้นเดือนต.ค.มาอยู่ที่ 1.69% ในวันที่ 8 ธ.ค.
ปัจจัยสนับสนุนเสถียรภาพของตลาดพันธบัตรไทย
- เงินเฟ้อไทยอยู่ในระดับต่ำ และมีแนวโน้มต่ำกว่ากรอบเป้าหมาย ทำให้แรงกดดันด้านอัตราดอกเบี้ยยังจำกัด
- เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวช้ากว่าหลายประเทศในภูมิภาค ส่งผลให้ตลาดยังคาดหวังการผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติม
- แรงซื้อจากนักลงทุนระยะยาว ทั้งสถาบันในประเทศและนักลงทุนต่างชาติ เริ่มกลับเข้ามาหลัง Bond Yield ปรับขึ้นมาระดับที่น่าสนใจ
จับตาการประชุม กนง. เดือนธ.ค. และทิศทางดอกเบี้ยปี 2569
การประชุมกนง.ในวันที่ 17 ธ.ค. ถือเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญของตลาดตราสารหนี้ไทย ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่ากนง.มีโอกาสพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ในรอบนี้เพื่อสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจที่ยังเปราะบาง ทั้งนี้หากกนง.ปรับลดดอกเบี้ยจะทำให้จะอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงมาอยู่ที่ 1.25% ซึ่งจะทำให้ Policy Space เหลือค่อนข้างจำกัด อย่างไรก็ตามศูนย์วิจัยฯ ยังคาดว่ากนง. ยังมีโอกาสจะลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมในช่วงครึ่งแรกของปี 2569 เพื่อสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ทำให้การลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมในช่วงครึ่งหลังของปีหน้าจะขึ้นอยู่กับทิศทางเศรษฐกิจเป็นสำคัญ
กองทุนตราสารหนี้ทำผลตอบแทนเป็นบวกได้ทุกกองทุนในเดือนพ.ย.
จากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรไทยและสหรัฐฯ ที่มีเสถียรภาพมากขึ้นในเดือนพ.ย. ส่งผลให้กองทุนตราสารหนี้ของบลจ. กสิกรไทยในเดือนพ.ย. กลับมาทำผลตอบแทนเป็นบวกได้ทุกกองทุน โดยในเดือนพ.ย. โดยกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น อย่างกองทุน K-SF-A +0.07%, K-SFPLUS-A +0.08% และกองทุนตราสารหนี้ระยะกลาง-ยาวอย่าง K-FIXED-A +0.18% และ K-FIXEDPLUS-A +0.21%
สำหรับผลตอบแทนนับจากต้นปี (YTD) ยังถือว่าทำผลตอบแทนได้โดดเด่น โดยมีผลตอบแทนดังนี้
- K-SF-A +1.58%
- K-SFPLUS-A +1.80%
- K-FIXED-A +3.15%
- K-FIXEDPLUS +3.58%
ผลตอบแทนกองทุนตราสารหนี้รายเดือนปี 2025
ปัจจัยสนับสนุนการลงทุนในกองทุนตราสารหนี้
มองไปข้างหน้า การลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ยังมีปัจจัยสนับสนุนหลักๆ ได้แก่
- แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยระยะกลางยังเป็นขาลง แม้ Policy Space ในระยะข้างหน้าอาจเริ่มจำกัด
- Bond Yield ปัจจุบันอยู่ในระดับที่เริ่มน่าสนใจสำหรับการทยอยสะสม
- ช่วยลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุน ในช่วงที่ตลาดหุ้นและสินทรัพย์เสี่ยงยังเผชิญความไม่แน่นอน
คำแนะนำในการลงทุน
- สำหรับนักลงทุนที่ถือครองกองทุนตราสารหนี้อยู่สามารถถือต่อไปได้เพื่อรอผลบวกจากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่ยังเป็นขาลง
- สำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนเพิ่มสามารถทยอยสะสมกองทุนตราสารหนี้ เพื่อช่วยกระจายความเสี่ยงของพอร์ต
-
สำหรับนักลงทุนระยะสั้น เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝาก เน้นความสม่ำเสมอ มีสภาพคล่องสูง เพื่อพักเงินระยะสั้น
- K-SF-A: ลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นทั้งในและต่างประเทศ สภาพคล่องสูง (แนะนำลงทุน 3 เดือนขึ้นไป)
- K-SFPLUS-A: ลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นทั้งในและต่างประเทศ สภาพคล่องสูง (แนะนำลงทุน 6 เดือนขึ้นไป)
- สำหรับนักลงทุนระยะกลาง-ยาว เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการเพิ่มผลตอบแทน และสามารถรับความผันผวนเพื่อโอกาสที่มากกว่า
- K-FIXED-A: ลงทุนในตราสารหนี้ระยะกลาง-ยาวในประเทศเท่านั้น Duration > 1 ปี (แนะนำลงทุน 1 ปีขึ้นไป)
- K-FIXEDPLUS-A: ลงทุนในตราสารหนี้ไทย 80% และตราสารหนี้ต่างประเทศ 20% ระยะกลาง-ยาว Duration > 1 ปี (แนะนำลงทุน 1 ปีขึ้นไป)
- ช่วงนี้เป็นช่วงโค้งสุดท้ายของการลดหย่อนภาษี แนะนำลงทุนกองทุนตราสารหนี้เพื่อลดหย่อนภาษีอย่าง K-ESGSI-ThaiESG, K-ESGBF-ThaiESG, K-SFRMF, และ K-GDBONDRMF
-
K-ESGBF-ThaiESG
กองทุนตราสารหนี้เพื่อลดหย่อนภาษี
-
K-GDBONDRMF
กองทุนตราสารหนี้เพื่อลดหย่อนภาษี