-
Fed ลดดอกเบี้ยต่ออีก 0.25% หนุนตลาดบวก แต่ส่งสัญญาณชะลอการลดดอกเบี้ยใน Dot Plot ปี 2026 (เหลือลดอีก 1 ครั้ง) ซึ่งน้อยกว่าที่ตลาดคาดการณ์ โดยมีปัจจัยสนับสนุนคือการจ้างงานที่อ่อนแรงลง
-
การลดดอกเบี้ยทำให้ตลาดได้แรงหนุนจากต้นทุนการเงินที่ลดลง ขณะที่ความเสี่ยงหลักยังคงอยู่ที่ เงินเฟ้อที่สูงกว่าเป้า และ ตลาดแรงงานที่อ่อนแอ ซึ่งเป็น 2 ปัจจัยหลักที่ต้องติดตามเพื่อดูทิศทางดอกเบี้ยในอนาคต
Market Update
ผลการประชุม FOMC วันที่ 9-10 ธ.ค. 2568 คณะกรรมการ Fed มีมติ ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% จากเดิม 3.75–4.00% มาอยู่ที่ 3.50–3.75%
การตัดสินใจนี้ถือเป็น การลดอัตราดอกเบี้ยครั้งที่ 3 ในปี 2025 โดย Dot Plot ชี้ลดอีกเพียงครั้งเดียวในปี 2026 ในอัตรา 0.25 % ซึ่งน้อยกว่าที่ตลาดคาดว่าจะลดอีกสองครั้ง
เหตุผลที่ลดดอกเบี้ยเป็นเพราะการจ้างงานที่ชะลอและอัตราว่างงานปรับสูงขึ้น ขณะที่เงินเฟ้อยังค่อนข้างสูง โดย ตัวเลขเงินเฟ้อยังอยู่เหนือเป้าระยะยาว
Fed ประกาศเริ่มซื้อพันธบัตรระยะสั้น (Treasury bills) เพื่อรักษาสภาพคล่องสำรอง และดูแลให้สถาบันการเงินมีสภาพคล่องเพียงพอโดยจะเริ่มในวันศุกร์นี้
Related Indices
- Dow Jones +1.05%
- S&P 500 +0.68%
- NASDAQ +0.42%
(ข้อมูล ณ วันที่ 10 ธ.ค. 2568)
Market Outlook
- การลดดอกเบี้ยช่วยหนุนบรรยากาศตลาดการเงิน ตลาดหุ้นและตราสารหนี้ได้จากต้นทุนทางการเงินที่ถูกลง
- อย่างไรก็ตาม Fed ส่งสัญญาณระมัดระวังแม้ครั้งนี้จะลดดอกเบี้ยแล้ว แต่ยังต้องดูข้อมูลเศรษฐกิจประกอบก่อนตัดสินใจในอนาคต
- ความเสี่ยงที่ควรจับตา: เงินเฟ้อยังอยู่ระดับเหนือเป้า, ตลาดแรงงานที่อ่อนแรงอาจส่งผลต่อกำลังซื้อ, และปัจจัยtariffs ที่อาจกดดันต้นทุน
ปัจจัยหลักที่ต้องติดตาม
- ตัวเลขเงินเฟ้อ เพื่อดูว่าอัตราเงินเฟ้อยังคง ค่อนข้างสูงหรือเริ่มเข้าสู่แนวโน้มลดลง
- ข้อมูลตลาดแรงงาน: การจ้างงานใหม่, อัตราการว่างงาน ถ้าตลาดแรงงานยังไม่กลับมาแข็งแรง อาจกดดันให้ลดดอกเบี้ยต่อ
คำแนะนำการลงทุน
- สำหรับนักลงทุนที่ถือกองทุนหุ้นสหรัฐฯ
- หากมีสัดส่วนมากกว่า 30% แนะนำทยอยลดสัดส่วนให้น้อยกว่า 30% เพื่อลดความเสี่ยงพอร์ตกระจุกตัวเกินไป
- หากมีสัดส่วนน้อยกว่า 30% แนะนำ ถือต่อได้ เพราะระยะยาวโอกาสเติบโตยังสูง หรือจะกระจายไปลงทุนกองทุนอื่นก็ได้เช่นกัน
- สำหรับนักลงทุนทั่วไป และผู้ที่ไม่มีสถานะการลงทุนในกองทุนหุ้นสหรัฐฯ
- สำหรับนักลงทุนที่ยังไม่มีสถานะการลงทุนในกองทุนหุ้นสหรัฐฯ แนะนำลงทุนในกองทุนแนะนำอื่นที่น่าสนใจกว่า
- สำหรับกองทุนอื่นที่น่าสนใจ มีดังนี้
ผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง สามารถทยอยลงทุนในกองทุนต่อไปนี้ได้
- ประเทศเศรษฐกิจขยายตัวสูงอย่างอินเดียและจีน ผ่านกองทุน K-INDIA และ K-CHINA
- กลุ่ม Defensive ไม่ว่าจะเป็น Global Healthcare อย่าง K-GHEALTH หรือกลุ่ม Global Infrastructure ผ่านกองทุน K-GINFRA
- กองทุนหุ้นเทคโนโลยีเอเชียผ่านกองทุน K-ATECH ซึ่งมีระดับ Valuation ที่น่าสนใจกว่าฝั่งสหรัฐฯ
ผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ปานกลางถึงต่ำ แนะนำทยอยเข้าลงทุนในกองทุนผสมที่มีการกระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสม หรือกองทุนตราสารหนี้คุณภาพดี ได้แก่
- K-WealthPLUS Series ซึ่งเป็นกองทุนผสมอย่าง K-WPBALANCED K-WPSPEEDUP
- K-GDBOND ซึ่งเป็นกองทุนตราสารหนี้ทั่วโลกระดับ Investment Grade เหมาะสมลงทุนในจังหวะที่ Yield พันธบัตรยังอยู่ในระดับสูง
ผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ แนะนำลงทุนในกองทุนตลาดเงินหรือตราสารหนี้ระยะสั้น เช่น K-SFPLUS-A
สุดท้ายสำหรับนักลงทุนที่ถือกองทุนหุ้นอื่น ๆ นอกเหนือจากสหรัฐฯ สัดส่วนเกิน 20% หรือมีกำไรมากกว่า 10% แนะนำ ทยอยขายทำกำไรบางส่วน (Take Profit) เพื่อล็อกผลตอบแทนและปรับพอร์ตให้สมดุล
หมายเหตุ:
- ระดับความเสี่ยงกองทุน
- K-SFPLUS ความเสี่ยงกองทุนระดับ 4
- K-WPSPEEDUP, K-WPBALANCED, K-GDBOND ความเสี่ยงกองทุนระดับ 5
- K-INDIA-A(A), K-GHEALTH, K-GINFRA, K-ATECH: ความเสี่ยงกองทุนระดับ 6
- นโยบายป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน
- K-SFPLUS: ป้องกันความเสี่ยง 100% ของเงินลงทุนต่างประเทศ
- K-INDIA-A(A), K-GHEALTH, K-GINFRA: ป้องกันความเสี่ยงไม่น้อยกว่า 75% ของเงินลงทุนต่างประเทศ
- K-WPBALANCED, K-WPSPEEDUP, K-ATECH, K-GDBOND: ป้องกันความเสี่ยงตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน
- ระยะเวลาการรับเงินค่าขายคืน (ตัวอย่างเช่น ระยะเวลาการรับเงินค่าขายคืน T+6 หมายถึง จะได้รับเงินค่าขายคืน 6 วันทำการถัดจากวันที่ทำรายการ (T+6) เช่น ขายคืนวันจันทร์ จะได้รับเงินค่าขายคืนวันอังคารของสัปดาห์ถัดไป (กรณีไม่มีวันหยุดอื่น นอกจากเสาร์-อาทิตย์))
- K-SFPLUS: T+1
- K-GDBOND: T+2
- K-INDIA-A(A), K-GHEALTH, K-GINFRA, K-ATECH: T+4
- K-WPBALANCED, K-WPSPEEDUP: T+6