Fed ตัดสินใจลดดอกเบี้ย (3.50–3.75%) หนุนบรรยากาศตลาดในระยะสั้น แต่ Dot Plot ชี้สัญญาณระมัดระวังด้วยการลดดอกเบี้ยในอัตราที่น้อยกว่าคาดในปี 2026 ขณะที่นักลงทุนต้องติดตามความเสี่ยงหลักจากเงินเฟ้อที่ยังสูงกว่าเป้าและตลาดแรงงานที่อ่อนแอต่อไป

ไม่พลิก! Fed ลดดอกเบี้ยส่งท้ายปีตามคาด

Fed ตัดสินใจลดดอกเบี้ย (3.50–3.75%) หนุนบรรยากาศตลาดในระยะสั้น แต่ Dot Plot ชี้สัญญาณระมัดระวังด้วยการลดดอกเบี้ยในอัตราที่น้อยกว่าคาดในปี 2026 ขณะที่นักลงทุนต้องติดตามความเสี่ยงหลักจากเงินเฟ้อที่ยังสูงกว่าเป้าและตลาดแรงงานที่อ่อนแอต่อไป

กดฟัง
หยุด
  • Fed ลดดอกเบี้ยต่ออีก 0.25% หนุนตลาดบวก แต่ส่งสัญญาณชะลอการลดดอกเบี้ยใน Dot Plot ปี 2026 (เหลือลดอีก 1 ครั้ง) ซึ่งน้อยกว่าที่ตลาดคาดการณ์ โดยมีปัจจัยสนับสนุนคือการจ้างงานที่อ่อนแรงลง
  • การลดดอกเบี้ยทำให้ตลาดได้แรงหนุนจากต้นทุนการเงินที่ลดลง ขณะที่ความเสี่ยงหลักยังคงอยู่ที่ เงินเฟ้อที่สูงกว่าเป้า และ ตลาดแรงงานที่อ่อนแอ ซึ่งเป็น 2 ปัจจัยหลักที่ต้องติดตามเพื่อดูทิศทางดอกเบี้ยในอนาคต

Market Update

ผลการประชุม FOMC วันที่ 9-10 ธ.ค. 2568 คณะกรรมการ Fed มีมติ ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% จากเดิม 3.75–4.00% มาอยู่ที่ 3.50–3.75%


การตัดสินใจนี้ถือเป็น การลดอัตราดอกเบี้ยครั้งที่ 3 ในปี 2025 โดย Dot Plot ชี้ลดอีกเพียงครั้งเดียวในปี 2026 ในอัตรา 0.25 % ซึ่งน้อยกว่าที่ตลาดคาดว่าจะลดอีกสองครั้ง


เหตุผลที่ลดดอกเบี้ยเป็นเพราะการจ้างงานที่ชะลอและอัตราว่างงานปรับสูงขึ้น ขณะที่เงินเฟ้อยังค่อนข้างสูง โดย ตัวเลขเงินเฟ้อยังอยู่เหนือเป้าระยะยาว


Fed ประกาศเริ่มซื้อพันธบัตรระยะสั้น (Treasury bills) เพื่อรักษาสภาพคล่องสำรอง และดูแลให้สถาบันการเงินมีสภาพคล่องเพียงพอโดยจะเริ่มในวันศุกร์นี้


Related Indices
  • Dow Jones +1.05%
  • S&P 500 +0.68%
  • NASDAQ +0.42%

(ข้อมูล ณ วันที่ 10 ธ.ค. 2568)


Market Outlook

  • การลดดอกเบี้ยช่วยหนุนบรรยากาศตลาดการเงิน ตลาดหุ้นและตราสารหนี้ได้จากต้นทุนทางการเงินที่ถูกลง
  • อย่างไรก็ตาม Fed ส่งสัญญาณระมัดระวังแม้ครั้งนี้จะลดดอกเบี้ยแล้ว แต่ยังต้องดูข้อมูลเศรษฐกิจประกอบก่อนตัดสินใจในอนาคต
  • ความเสี่ยงที่ควรจับตา: เงินเฟ้อยังอยู่ระดับเหนือเป้า, ตลาดแรงงานที่อ่อนแรงอาจส่งผลต่อกำลังซื้อ, และปัจจัยtariffs ที่อาจกดดันต้นทุน

ปัจจัยหลักที่ต้องติดตาม

  • ตัวเลขเงินเฟ้อ เพื่อดูว่าอัตราเงินเฟ้อยังคง ค่อนข้างสูงหรือเริ่มเข้าสู่แนวโน้มลดลง
  • ข้อมูลตลาดแรงงาน: การจ้างงานใหม่, อัตราการว่างงาน ถ้าตลาดแรงงานยังไม่กลับมาแข็งแรง อาจกดดันให้ลดดอกเบี้ยต่อ

คำแนะนำการลงทุน

  • สำหรับนักลงทุนที่ถือกองทุนหุ้นสหรัฐฯ
    • หากมีสัดส่วนมากกว่า 30% แนะนำทยอยลดสัดส่วนให้น้อยกว่า 30% เพื่อลดความเสี่ยงพอร์ตกระจุกตัวเกินไป
    • หากมีสัดส่วนน้อยกว่า 30% แนะนำ ถือต่อได้ เพราะระยะยาวโอกาสเติบโตยังสูง หรือจะกระจายไปลงทุนกองทุนอื่นก็ได้เช่นกัน
  • สำหรับนักลงทุนทั่วไป และผู้ที่ไม่มีสถานะการลงทุนในกองทุนหุ้นสหรัฐฯ
    • สำหรับนักลงทุนที่ยังไม่มีสถานะการลงทุนในกองทุนหุ้นสหรัฐฯ แนะนำลงทุนในกองทุนแนะนำอื่นที่น่าสนใจกว่า
  • สำหรับกองทุนอื่นที่น่าสนใจ มีดังนี้

    ผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง สามารถทยอยลงทุนในกองทุนต่อไปนี้ได้


    • ประเทศเศรษฐกิจขยายตัวสูงอย่างอินเดียและจีน ผ่านกองทุน K-INDIA และ K-CHINA
    • กลุ่ม Defensive ไม่ว่าจะเป็น Global Healthcare อย่าง K-GHEALTH หรือกลุ่ม Global Infrastructure ผ่านกองทุน K-GINFRA
    • กองทุนหุ้นเทคโนโลยีเอเชียผ่านกองทุน K-ATECH ซึ่งมีระดับ Valuation ที่น่าสนใจกว่าฝั่งสหรัฐฯ

    ผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ปานกลางถึงต่ำ แนะนำทยอยเข้าลงทุนในกองทุนผสมที่มีการกระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสม หรือกองทุนตราสารหนี้คุณภาพดี ได้แก่


    • K-WealthPLUS Series ซึ่งเป็นกองทุนผสมอย่าง K-WPBALANCED K-WPSPEEDUP
    • K-GDBOND ซึ่งเป็นกองทุนตราสารหนี้ทั่วโลกระดับ Investment Grade เหมาะสมลงทุนในจังหวะที่ Yield พันธบัตรยังอยู่ในระดับสูง

ผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ แนะนำลงทุนในกองทุนตลาดเงินหรือตราสารหนี้ระยะสั้น เช่น K-SFPLUS-A


สุดท้ายสำหรับนักลงทุนที่ถือกองทุนหุ้นอื่น ๆ นอกเหนือจากสหรัฐฯ สัดส่วนเกิน 20% หรือมีกำไรมากกว่า 10% แนะนำ ทยอยขายทำกำไรบางส่วน (Take Profit) เพื่อล็อกผลตอบแทนและปรับพอร์ตให้สมดุล


หมายเหตุ:
  • ระดับความเสี่ยงกองทุน
    • K-SFPLUS ความเสี่ยงกองทุนระดับ 4
    • K-WPSPEEDUP, K-WPBALANCED, K-GDBOND ความเสี่ยงกองทุนระดับ 5
    • K-INDIA-A(A), K-GHEALTH, K-GINFRA, K-ATECH: ความเสี่ยงกองทุนระดับ 6
  • นโยบายป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน
    • K-SFPLUS: ป้องกันความเสี่ยง 100% ของเงินลงทุนต่างประเทศ
    • K-INDIA-A(A), K-GHEALTH, K-GINFRA: ป้องกันความเสี่ยงไม่น้อยกว่า 75% ของเงินลงทุนต่างประเทศ
    • K-WPBALANCED, K-WPSPEEDUP, K-ATECH, K-GDBOND: ป้องกันความเสี่ยงตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน
  • ระยะเวลาการรับเงินค่าขายคืน (ตัวอย่างเช่น ระยะเวลาการรับเงินค่าขายคืน T+6 หมายถึง จะได้รับเงินค่าขายคืน 6 วันทำการถัดจากวันที่ทำรายการ (T+6) เช่น ขายคืนวันจันทร์ จะได้รับเงินค่าขายคืนวันอังคารของสัปดาห์ถัดไป (กรณีไม่มีวันหยุดอื่น นอกจากเสาร์-อาทิตย์))
    • K-SFPLUS: T+1
    • K-GDBOND: T+2
    • K-INDIA-A(A), K-GHEALTH, K-GINFRA, K-ATECH: T+4
    • K-WPBALANCED, K-WPSPEEDUP: T+6

คำเตือน

Disclaimer: “ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน”, “ทำความเข้าเงื่อนไขการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีและผลกระทบหากทำผิดเงื่อนไขก่อนตัดสินใจลงทุน”

ผู้เขียน

CIO Office at K WEALTH

Back to top