เจาะลึกลงทุนธุรกิจ Health Care ทางรอดสู้เศรษฐกิจถดถอย

หนึ่งในกลุ่มหุ้นที่ได้รับผลกระทบจากความผันผวนของเศรษฐกิจ นั่นคือ กลุ่ม Health Care ที่ผลตอบแทนจะไม่ได้หวือหวาเท่ากับหุ้นทั่วไป

เจาะลึกลงทุนธุรกิจ Health Care ทางรอดสู้เศรษฐกิจถดถอย


"


● ผลตอบแทนของตัวแทนหุ้นกลุ่ม Health Care ทำผลงานได้โดดเด่น (Outperform) กว่าหุ้นทั่วโลก ทั้งในแง่ผลตอบแทนสะสม (ตั้งแต่ พ.ย. 2007- พ.ย. 2021) และ ผลตอบแทนรายปีปฏิทิน ที่หุ้นกลุ่ม Health Care สม่ำเสมอกว่าหุ้นทั่วโลก ในช่วงปี 2008-2021 ทำให้มีความน่าสนใจในภาวะตลาดหุ้นผันผวน


● หุ้นกลุ่ม Health Care น่าลงทุนในภาวะตลาดผันผวน แต่ไม่ใช่ทุกกองทุนหุ้น Health Care น่าลงทุน ต้องวิเคราะห์ในรายละเอียดของกองทุนว่า มีหุ้นประเภท Defensive อย่าง หุ้นบริษัทผลิตยา (Pharmaceutical) หรือ หุ้นผู้ให้บริการสาธารณสุข (Healthcare Services) ช่วยลดความผันผวนของตลาดหุ้นได้


● นอกจากการลงทุนในกองทุน Health Care แล้ว ยังมีการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนให้เลือกแนะนำให้เลือกกองทุนที่มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เพื่อให้เน้นผลตอบแทนจากหุ้นกลุ่ม Health Care โดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าเงิน


"

จากสถานการณ์การขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯที่มีแนวโน้มชะลอตัวลง และสงครามที่ยืดเยื้อระหว่าง รัสเซียกับยูเครน ส่งผลต่อราคาน้ำมันให้อยู่ในระดับสูงและกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจของยุโรป ทำให้มีความเสี่ยงที่เศรษฐกิจของยูโรโซน และสหรัฐ มีความเสี่ยงจะเกิดภาวะถดถอยได้ แล้วจะมีธีมการลงทุนอะไรที่ยังอยู่รอดหรือทนทานต่อผลกระทบของภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้บ้าง หนึ่งในนั้น คือ หุ้นกลุ่ม Health Care ส่วนทำไมถึงเป็นเช่นนั้นบทความนี้สรุปมาให้แล้ว


เกิดอะไรขึ้น กับหุ้นกลุ่ม Health Care ในช่วงเศรษฐกิจผันผวน

ผลตอบแทนสะสม

รูป1*: เปรียบเทียบผลตอบแทนสะสมของ MSCI World Health Care VS MSCI World VS MSCI ACWI ระหว่าง เดือน พ.ย. 2007-พ.ย. 2022

*ที่มา : www.msci.com

จากรูปที่ 1 การเปรียบเทียบอัตราผลตอบแทนสะสมนับตั้งแต่ เดือน พ.ย. 2007 - พ.ย. 2022 จะพบว่า MSCI World Health Care มีผลตอบแทนสะสมที่ดีกว่า เทียบกับ MSCI World (หุ้นที่มีขนาดใหญ่และปานกลางในประเทศพัฒนาแล้วของโลก) และ MSCI ACWI (หุ้นที่มีขนาดใหญ่และปานกลางในประเทศพัฒนาแล้วและประเทศเกิดใหม่ทั้งโลก) โดยผ่านไป 15 ปี จากดัชนี 100 จุดเท่ากัน MSCI World Health Index จะอยู่ที่ 406.05 จุด MSCI World อยู่ที่ 246.47 จุด และ MSCI All Country World Index (ACWI) 226.46 จุด แสดงให้เห็นผลตอบแทนของหุ้นกลุ่ม Health Care มีผลตอบแทนโดดเด่นกว่า หุ้นโลก และหุ้นทั่วโลก
ผลตอบแทนรายปีปฏิทิน
รูป2* : ผลตอบแทนรายปีปฏิทิน ระหว่าง MSCI World Health Care VS MSCI World VS MSCI ACWI ปี 2008-2021
*ที่มา : www.msci.com

ในรูปที่ 2 เป็นการเปรียบเทียบเป็นรายปี แม้ดัชนี MSCI World Health Care อาจไม่ได้เอาชนะ MSCI World และ MSCI ACWI ได้ทุกปี แต่ถือว่าเป็นกลุ่มหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอกว่า เห็นได้จากผลตอบแทนในช่วงวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ (ช่วงปี 2008) ผลตอบแทนตามปีปฏิทินในปี 2008 ของ MSCI World Health Care ติดลบน้อยกว่า MSCI World และ MSCI ACWI และในช่วงตลาดหุ้นขาขึ้น MSCI World Health Care เป็นบวกแต่ไม่มากเท่า MSCI World และ MSCI ACWI นั่นคือ ลักษณะของหุ้น Defensive ที่จะมีผลตอบแทนที่ไม่ผันผวนในช่วงเศรษฐกิจถดถอย ในขณะที่ช่วงเศรษฐกิจเติบโต ผลตอบแทนก็ยังเป็นไปในทิศทางเดียวกับหุ้น เพียงแต่จะบวกไม่มากเท่ากับ หุ้นทั่วไป


สไตล์การลงทุน และหุ้นกลุ่ม Health Care มีอะไรบ้าง


กองทุนหลักที่เน้นการลงทุนในหุ้นกลุ่ม Health Care จะมีอยู่ 2 สไตล์การลงทุน ได้แก่

1.สไตล์ Active โดยคัดเลือกหุ้นที่คาดว่าจะได้ผลตอบแทนชนะตลาด

2.สไตล์ผสมผสาน ระหว่าง หุ้น Defensive และหุ้น Growth

ส่วนการลงทุนในหุ้นกลุ่ม Health Care จะมีอยู่ 4 ธีมใหญ่ๆ คือ 1. Pharmaceutical กลุ่มบริษัทยา 2. Health Care Services ผู้ให้บริการสาธารณสุข เช่น บริษัทประกัน โรงพยาบาล Lab, Managed Care หรือ Pharmarcy Benefit Manager 3.Biotechnology กลุ่มใช้เทคโนโลยีชีวภาพ เพื่อวิจัย พัฒนา และผลิตยาผ่านกระบวนการผลิตที่ใช้สิ่งมีชีวิต และ 4.Meditech กลุ่มใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ ที่ใช้นวัตกรรมในเครื่องมือแพทย์

เมื่ออ่านจากชื่อ ธีม 1 และ 2 จะเห็นว่าเป็นธีมดูแลสุขภาพในแบบดั้งเดิม (Traditional Health Care) คล้ายๆหุ้นกลุ่ม Defensive ดังนั้น บริษัทในกลุ่มนี้ จะเน้นตอบสนองต่อความต้องการทางการแพทย์พื้นฐาน

ส่วนธีม 3 และ 4 เป็นการใช้เทคโนโลยีในการรักษาแบบใหม่ หรือ ใช้เทคโนโลยีในเครื่องมือแพทย์ ซึ่งจะมีความแกว่งตัวของราคาที่มากกว่า คล้ายๆ หุ้นที่มีการเติบโตดี (Growth Stock) หรือ หุ้นวัฏจักร (Cyclical Stock) ที่จะมีรอบขึ้นและลง

ดังนั้น ถึงแม้จะเลือกลงทุนในหุ้นกลุ่ม Health Care ก็ยังจำเป็นต้องเลือกสไตล์การลงทุน และลักษณะของหุ้นที่จะลงทุน ที่มีทั้งแบบ Defensive และแบบผสมกันระหว่าง Defensive กับ Growth เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจที่มีความผันผวนสูง และในสหรัฐฯ หรือแถบยูโรโซน มีความเสี่ยงจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปี 2023 ทางเลือกลงทุนในหุ้นกลุ่ม Health Care ในลักษณะเน้น Defensive จึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ


เจาะหุ้นในกองทุนหลัก


ลองมาเจาะรายละเอียดกองทุนหลักของกองทุน K-GHEALTH อย่าง JPMorgan Funds-Global Healthcare ที่มีการลงทุนทั้ง 4 ธีม อย่าง Pharmaceutical, Health Care Services, Biotechnology และ Meditech โดยมีน้ำหนักการลงทุนเทียบกับ Benchmark ตามรูป
สัดส่วนการลงทุนรายอุตสาหกรรม

รูป 3** : สัดส่วนลงทุนแยกตามอุตสาหกรรมของกองทุนหลัก เทียบกับ Benchmark

เมื่อเปรียบเทียบกองทุน JPMorgan Funds-Global Healthcare กับดัชนี MSCI World Healthcare Index พบว่ามีการให้น้ำหนักการลงทุนในอุตสาหกรรม Biotechnology มากกว่า Benchmark และให้น้ำหนักอุตสาหกรรม Pharmaceutical และ Meditech ที่มีราคาแพง น้อยกว่า Benchmark เป็นการผสมผสานระหว่างหุ้นกลุ่ม Defensive อย่าง Pharmaceutical และ Healthcare Services ในสัดส่วนที่เกินกว่า 50% และหุ้นกลุ่ม Growth อย่าง Biotechnology และ Medtech เพื่อสร้างผลตอบแทนในระยะยาว

สัดส่วนหุ้น Top10

รูปที่ 4** : สัดส่วนลงทุนในหุ้น Health Care 10 บริษัทแรก
**ที่มา : JPMorgan Funds- Global Healthcare Fund ข้อมูล ณ วันที่ 31 ต.ค. 65


คำแนะนำการลงทุน


สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ และต้องการลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนให้เป็นบวก หนึ่งในทางเลือกคือ กลุ่มหุ้นกลุ่ม Health Care เนื่องจากจะเป็นหุ้นกลุ่ม Defensive และที่ผ่านมาให้ผลตอบแทน(โดยเปรียบเทียบ)ได้ดีกว่า หุ้นกลุ่มอื่นๆ
อัตราแลกเปลี่ยน USDTHB YTD
รูปที่ 5*** กราฟแสดงอัตราแลกเปลี่ยน USD/THB ตั้งแต่ ม.ค.- 6 ธ.ค. 65
ที่มา *** : CMB KBANK ข้อมูล ณ วันที่ 6 ธ.ค. 65

ส่วนนโยบายการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน จากรูปที่ 5 แสดงให้เห็นว่าค่าเงินบาทอ่อนค่าอย่างมาก (จาก 32 ลงมาแถวๆ 38 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ) เทียบกับช่วงต้นปี 2565 ในขณะที่อัตราการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในอัตราชะลอตัว ประกอบกับข่าวจีนที่กำลังจะเปิดประเทศ ทำให้ค่าเงินบาท(และค่าเงินสกุลเอเชีย)แข็งค่าขึ้น (จาก 38 บาทต่อดอลลาร์ฯ มาอยู่บริเวณ 35 บาทต่อดอลลาร์ฯ) โดยธนาคารกสิกรไทยคาดการณ์ค่าเงินบาทต่อดอลลาร์ฯ สิ้นปี 2565 อยู่ระหว่าง 34.50-35.30 บาทต่อดอลลาร์ เห็นแนวโน้มค่าเงินบาทมีโอกาสจำกัดที่จะอ่อนค่าต่อ แนะนำให้เลือกแบบป้องกันความเสี่ยงจากค่าเงิน จะช่วยให้ได้ผลตอบแทนจากหุ้นกลุ่ม Health Care โดยตรง และควบคุมต้นทุนในการลงทุนได้ดีขึ้น

ขอขอบคุณข้อมูลจาก บลจ.กสิกรไทย และ JPMorgan Funds-Global Healthcare Index ข้อมูล ณ วันที่ 31 ต.ค. 65
Finnomena เปรียบเทียบกองทุนหุ้น Health Care: https://www.finnomena.com/dekfinance/compare-healthcare-fund/

Disclaimer: “ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน”



ผู้เขียน

K WEALTH TRAINER สุนิติ ถนัดวณิชย์ CFP®
Back to top