ตลาดหุ้นอินเดียกำลังดึงดูดความสนใจจากนักลงทุนทั่วโลก ด้วยศักยภาพการเติบโตที่สูง ประชากรวัยหนุ่มสาว และเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับ 6 ของโลก บทความนี้จะช่วยพาไปรู้จักเศรษฐกิจ ตลาดหุ้น โอกาสและความเสี่ยงในการลงทุนหุ้นอินเดีย
ส่องภาพรวมเศรษฐกิจอินเดีย
GDP ไตรมาส 3 ปี 2023 เติบโต 7.6% (YoY) สูงกว่าคาดที่ 6.8% (YoY) ต่อเนื่องจากไตรมาส 2 ที่เติบโต 7.8% (YoY) ที่ผ่านมาเศรษฐกิจอินเดียมีอัตราการเติบโตอยู่ในช่วง 5-8% (YoY) มองไปยังอนาคตเป็นที่ทราบกันดีว่าเศรษฐกิจอินเดียขยายตัวร้อนแรงเป็นอันดับต้นๆ ของภูมิภาคเอเชีย คาดว่าระหว่างปี 2021-2030 ตัวเลข GDP จะขยายตัวประมาณ 6.3% ต่อปี หากเป็นเช่นนี้อินเดียจะกลายเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดอันดับ 3 ของโลก
เหตุผลที่เศรษฐกิจอินเดียเติบโตเช่นนี้ นั่นเพราะ ได้เปรียบต้นทุนเรื่องประชากร: อินเดียมีประชากรวัยหนุ่มสาวจำนวนมาก นับเป็นสัดส่วนหลักของประเทศ จึงมีต้นทุนด้านจำนวนแรงงานพร้อมเติมเข้าภาคอุตสาหกรรม เมื่อมีรายได้เพิ่มขึ้นก็ส่งต่อเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญด้านการบริโภค การปฏิรูปเศรษฐกิจ: นับตั้งแต่นายกฯ นเรนทรา โมดี ครองอำนาจเมื่อปี 2014 รัฐบาลอินเดียดำเนินการปฏิรูปเศรษฐกิจหลายอย่าง เช่น การลดภาษีและการอำนวยความสะดวกในการทำธุรกิจ ดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งเริ่มมีกระแสย้ายฐานการผลิตจากจีนเพื่อหลบความขัดแย้งระหว่างจีน-สหรัฐฯ
ว่ากันตามตรงอินเดียมีภาพการเติบโตระยะยาวที่ชัดเจนอันเกิดจากต้นทุนประชากรที่ได้เปรียบและการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง
ปัจจัยหนุนตลาดหุ้นอินเดียระยะสั้น
ด้วยเศรษฐกิจที่กำลังเติบโต โครงสร้างพื้นฐานกำลังขยายไปทั่ว ประเทศที่มีลักษณะเช่นนี้มักมีอัตราการเติบโตของสินเชื่อสูง ซึ่งล่าสุดปี 2023 ธนาคารพาณิชย์อินเดียมีการปล่อยสินเชื่อเพิ่มขึ้นประมาณ 18% ด้านอัตราดอกเบี้ยได้แตะระดับสูงสุดไปแล้ว หลังเงินเฟ้อมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง ส่งผลให้นโยบายการเงินไม่เป็นปัจจัยที่กดดันตลาดหุ้นอินเดียในปีนี้
บริษัทในตลาดหุ้นอินเดียสามารถเก็บเกี่ยวผลดีจากการเติบโตของเศรษฐกิจได้อย่างน่าสนใจเลยทีเดียว โดยอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) ระหว่างปี 2003-2022 เติบโตเฉลี่ย 22.8% ต่อปี สูงกว่าภูมิภาค Asia ex Japan ที่เติบโตเฉลี่ย 16.8% ต่อปี และกลุ่มตลาดเกิดใหม่ที่ 18% ต่อปี
ส่วนกำไรต่อหุ้น (EPS) ของดัชนี Nifty 50 คาดว่าปี 2024 จะเพิ่มขึ้นอีก 13.52% จากระดับปัจจุบัน ที่ผ่านมาระหว่างปี 2000-2023 กำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 10% ต่อปี ด้วยอัตราการเติบโตที่สูงจึงเป็นอีกเหตุผลที่ตลาดหุ้นอินเดียซื้อขายด้วยระดับ P/E สูงตามไปด้วย
ด้วยกำไรต่อหุ้นซึ่งเติบโตแรงส่งให้ปัจจุบันซื้อขายกันด้วย P/E ที่ระดับ 22.87 เท่า ลดลงจากช่วงต้นปี 2024 ซึ่งอยู่ที่ 25 เท่า และต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปีที่ 24.7 เท่า
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
ดัชนี CPI เดือน ม.ค. อยู่ที่ 5.1% (YoY) แม้จะลดลงจากจุดสูงสุดเมื่อเดือน ก.ค. ปี 2023 ที่ 7.44% (YoY) แต่ธนาคารกลางอินเดียยังต้องการรอจนกว่า CPI จะลดมาถึงระดับเป้าหมายที่ประมาณ 4% (YoY) ดังนั้นตลาดหุ้นอินเดียอาจมีความเสี่ยงจากการคงอัตราดอกเบี้ยระดับสูงนานกว่าที่คาด
เศรษฐกิจที่เติบโตอย่างน่าสนใจ ส่วนหนึ่งมาจากงบประมาณภาครัฐ ซึ่งประเทศอินเดียมีการขาดดุลการคลังมาตลอดทศวรรษที่ผ่านมา ล่าสุดปี 2023 ขาดดุลการคลังประมาณ 5.9% ของ GDP ดังนั้นงบกระตุ้นจากภาครัฐมีความเป็นไปได้ที่จะไม่เพิ่มขึ้นได้รวดเร็วเหมือนอย่างที่เคยทำมาก่อนหน้านี้
สุดท้ายนี้ปัจจัยที่กล่าวมาทั้งหมด นักลงทุนในตลาดต่างรับรู้แล้วเช่นกัน ในระยะสั้นตลาดหุ้นอินเดียรับข่าวไปบางส่วนแล้ว ส่วนระยะยาวใช้คำว่าน่าสนใจ ดังนั้นการลงทุนหุ้นอินเดียจึงควรเป็นการลงทุนระยะยาว และถ้านักลงทุนท่านใดสนใจลงทุนอินเดีย ก็คงต้องไปคว้าโอกาสกับกองทุน K-INDIA กันหน่อยแล้ว
คว้าโอกาสลงทุนระยะยาวไปกับกองทุน K-INDIA
ลงทุนผ่านกองทุนหลัก Goldman Sachs India Equity Portfolio Class I Shares (Acc.) มีนโยบายสร้างผลตอบแทนให้สูงกว่าดัชนีอ้างอิง MSCI India IMI, Net returns, Unhedged USD
เดือน ม.ค. 2024 กองทุนหลักมีสัดส่วน 5 อุตสาหกรรมหลัก ประกอบด้วย Financials 25.4%, Consumer Discretionary 15.8%, Information Technology 12.8%, Industrials 9.8% และ Materials 7.9%
ในพอร์ตถือหุ้นที่น่าสนใจซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำของอินเดีย เช่น ICICI Bank ธนาคารที่มีทรัพย์สินอันดับ 2 ของประเทศ, Infosys บริษัทที่ปรึกษาด้านธุรกิจและเทคโนโลยี, Reliance Industries ผู้นำด้านพลังงานและปิโตรเคมีครบวงจร
ผลการดำเนินงานกองทุน K-INDIA-A(A) ตั้งแต่ต้นปีถึงวันที่ 7 มี.ค. 67 อยู่ที่ 3.68%, 1 เดือนย้อนหลังอยู่ที่ 0.14% และ 1 สัปดาห์ย้อนหลังอยู่ที่ 0.16%