ตลาดหุ้นอินเดียร่วงหนัก เช่น ดัชนี Nifty 50 ณ 4 มิ.ย. 67 ปรับตัวลง -5.93%เทียบกับวันทำการก่อนหน้า หลังนักลงทุนเริ่มเห็นผลการนับคะแนนการเลือกตั้งในวันที่ 4 มิ.ย. 67 ที่แม้พรรคเดิมได้อยู่ต่อสานนโยบายเดิมที่ทำ แต่นักลงทุนกลับกังวลจำนวนเก้าอี้ในสภาที่ไม่ได้มากอย่างที่คาดไว้ก่อนหน้านี้
โดย ณ วันที่ 4 มิ.ย. 67 ตลาดหุ้นอินเดียและกองทุนหลักของกองทุนหุ้นอินเดียมีการปรับตัวลง ซึ่งคาดว่าจะส่งผลต่อราคา NAV กองทุน K-INDX และ K-INDIA-A(A) ของ KAsset ณ 4 มิ.ย. 67 (คาดว่าจะประกาศในคืนวันที่ 5 มิ.ย. 67)
• ดัชนีตลาดหุ้นอินเดีย Nifty 50 ปรับตัวลง -5.93%เทียบกับวันทำการก่อนหน้า
• กองทุนหลักของ K-INDX (iShares India 50 ETF) ปรับตัวลง -6.35%เทียบกับวันทำการก่อนหน้า
• กองทุนหลักของ K-INDIA-A(A) (Goldman Sachs India Equity Portfolio) ปรับตัวลง -5.25%เทียบกับวันทำการก่อนหน้า
อย่างไรก็ตามเนื่องจากวันที่ 3 มิ.ย. 67 เป็นวันหยุดทำการของไทย ราคากองทุน K-INDX และ K-INDIA-A(A) ของ KAsset ณ 4 มิ.ย. 67 จึงรวมความเคลื่อนไหวของตลาดในวันที่ 3 มิ.ย. 67 ด้วย ส่งผลให้ราคากองทุนอาจปรับตัวลงน้อยกว่าข้อมูลที่แสดงข้างต้นได้
ทำไม ตลาดหุ้นอินเดียปรับตัวลง
ก่อนหน้านี้ เมื่อวันจันทร์ที่ 3 มิ.ย. 67 ตลาดหุ้นอินเดียได้เคยปรับตัวขึ้นค่อนข้างแรง โดยปรับตัวขึ้น +3.25%เทียบกับวันก่อนหน้า ตอบรับผลโพลที่ระบุว่าพรรค BJP และพรรคแนวร่วมจะชนะการเลือกตั้งครั้งนี้ด้วยจำนวนเก้าอี้ในสภากว่า 2 ใน 3 และคาดว่านายนเรนทรา โมดี จะสามารถดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีอินเดียสมัยที่ 3 เพื่อสานต่อนโยบายเดิมที่ทำไว้ได้อย่างง่ายดาย
อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 4 มิ.ย. 67 ที่อินเดียได้มีการเปิดหีบนับคะแนนเลือกตั้ง หลังจากนับคะแนนไปได้ระยะเวลาหนึ่ง แม้จะมีความชัดเจนว่าพรรค BJP และพรรคแนวร่วม จะชนะการเลือกตั้งด้วยที่นั่งในสภามากกว่าครึ่งหนึ่ง แต่เป็นจำนวนที่นั่งที่น้อยกว่าที่หลายคนคาดไว้ก่อนหน้านี้ ทำให้นักลงทุนเกิดความกังวลว่าการดำเนินนโยบายต่างๆ ของรัฐบาลใหม่ อาจไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด เช่น การผลักดันการปฏิรูปกฎหมายที่ดินและกฎหมายแรงงาน ให้ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา ที่นักลงทุนบางส่วนมองว่ากฎหมายทั้ง 2 ฉบับ มีความสำคัญต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของอินเดีย รวมถึงการเน้นเรื่องการผลิต เรื่องการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment: FDI)
ตลาดหุ้นอินเดียจึงปรับตัวลงแรงในวันที่ 4 มิ.ย. 67 มาอยู่ที่ระดับ 21,884.50 หรือเป็นการปรับตัวลง -5.93%เทียบกับวันทำการก่อนหน้า และ -2.87%เทียบกับสิ้นสัปดาห์ก่อนหน้า แต่ก็ยังสูงกว่าตอนต้นปี 67 ที่ +0.66% โดยล่าสุดจากผลการนับคะแนน 99% (เช้าวันที่ 5 มิ.ย.) พรรค BJP และพรรคแนวร่วมได้เก้าอี้ในสภาแล้วอย่างน้อย 291 ที่นั่ง หรือประมาณ 54% จากทั้งหมด 543 ที่นั่ง ซึ่งน้อยกว่าที่นั่งเดิมที่เคยได้ตอนปี 2562 ที่ 303 ที่นั่ง
คำแนะนำการลงทุน
K WEALTH และ KAsset มีมุมมองการลงทุนเป็นกลางสำหรับการลงทุนในกองทุนหุ้นอินเดีย
ระยะสั้นตลาดหุ้นอินเดียน่าจะยังมีความผันผวนสูง เนื่องจากคะแนนไม่เป็นตามคาด และนักลงทุนกังวลว่าจะไม่มีความต่อเนื่องทางด้านนโยบาย ทั้งนี้ จากข้อมูลในสถิติ ไม่ว่าพรรคใดจะชนะการเลือกตั้ง ตลาดหุ้นอินเดียจะยังถูกขับเคลื่อนจากกำไรบริษัทจดทะเบียน ซึ่งในปัจจุบันยังคาดการณ์ว่ากำไรจะเติบโตได้ประมาณ 20% ในปีนี้ ทำให้มุมมองบวกระยะยาวต่ออินเดียไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป
• ผู้ถือกองทุนหุ้นอินเดีย เช่น K-INDX K-INDIA-A(A)
o หากมีกำไร แนะนำขายทำกำไรเพื่อลดสัดส่วนลง โดยหากยังต้องการถือลงทุนต่อแนะนำให้มีสัดส่วนการลงทุนไม่เกิน 30% ของเงินลงทุนทั้งหมด
o หากมีผลขาดทุน แนะนำถือกองทุนต่อ เพื่อรอราคาปรับตัวขึ้นในระยะยาว แต่หากมีสัดส่วนการลงทุนเกิน 30%ของเงินลงทุนทั้งหมด แนะนำพิจารณาหาจังหวะขายเพื่อลดสัดส่วนลง
o เงินที่ได้จากการขายคืน แนะนำนำไปลงทุนต่อในกองทุนแนะนำของ K WEALTH เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสการลงทุน เช่น K-EUROPE-A(D) K-VIETNAM K-GHEALTH
• ผู้ที่มีเงินต้องการลงทุนเพิ่ม
o การลงทุนระยะเวลาสั้น แนะนำให้รอความชัดเจนในการจัดตั้งรัฐบาลอิยเดียก่อนเข้าลงทุน กองทุนหุ้นอินเดีย
o การลงทุนระยะยาว แนะนำนำเงินไปลงทุนในกองทุนแนะนำของ K WEALTH ที่มีมุมมองการลงทุนเป็นบวก และเป็นทางเลือกที่มีความน่าสนใจมากกว่ากองทุนหุ้นอินเดีย เช่น K-EUROPE-A(D) K-VIETNAM K-GHEALTH
o ผู้ที่กังวลกับความเสี่ยงจากความผันผวนในตลาดหุ้นบางประเทศ หรือบางสินทรัพย์ แนะนำลงทุนในกองทุนผสมเป็นหลัก โดยสามารถมีสัดส่วนเงินลงทุนในกองทุนกลุ่มนี้ได้ถึง 80%ของเงินลงทุน เนื่องจากเป็นกองทุนที่มีการกระจายเงินลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลายและมีผู้จัดการกองทุนในการพิจารณาปรับพอร์ตการลงทุนอย่างเหมาะสม เช่น K-WPULTIMATE K-WPBALANCED
o ผู้ที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ กังวลใจกับมูลค่าเงินลงทุนที่ผันผวน แนะนำให้ลงทุนกองทุนตราสารหนี้ที่สอดคล้องกับระยะเวลาที่ต้องการลงทุน เช่น K-FIXEDPLUS-A ที่เหมาะกับการลงทุน 1.5 ปีขึ้นไป หรือ K-SF-A ที่เหมาะกับการลงทุน 1-3 เดือนขึ้นไป
ขอบคุณข้อมูลจาก KAsset
Disclaimer: “ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน”