Healthcare – เกมรับคือเกมรุกที่ดีที่สุดในเวลานี้

เปิด 3 เหตุผลทำไมหุ้นกลุ่ม Healthcare ถึงยังมีความน่าสนใจสำหรับการลงทุนในช่วงนี้ที่ตลาดหุ้นผันผวนสูง พร้อมแนะนำหุ้น Healthcare หลากหลายกลุ่มรวมถึงผลิตภัณฑ์กองทุนรวมที่มุ่งเน้นเติบโตไปกับเทรนด์กลุ่ม Healthcare

• ช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้นมีความผันผวนสูงเนื่องจากผลประกอบการหุ้นกลุ่ม Tech ออกมาน่าผิดหวัง ดังนั้นเพื่อลดความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากตลาดที่ผันผวน เราควรลงทุนในหุ้นกลุ่มที่พื้นฐานแข็งแกร่งมีอนาคต ราคาหุ้นมีความเหมาะสม และไม่ผันผวนมากนัก ซึ่งหุ้นที่เข้าข่ายทั้งหมดนี้ คือหุ้นกลุ่ม Healthcare ซึ่งประกอบด้วยบริษัทชื่อดังมากมายจากหลายอุตสาหกรรม เช่น บริษัท Eli Lilly and Co และ Novo Nordisk ผู้ผลิตยาเบาหวาน GLP-1 หรือ UnitedHealth บริษัทประกันสุขภาพแบบครบวงจร เป็นต้น


• หากนักลงทุนสนใจลงทุนหุ้นในกลุ่ม Healthcare แต่ไม่รู้จะเลือกตัวไหนดี K WEALTH ขอแนะนำลงทุนในกองทุน K-GHEALTH ซึ่งเป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นกลุ่ม Healthcare ที่หลากหลาย ผสมผสานทั้งหุ้น Growth และ Value เพื่อให้นักลงทุนคว้าโอกาสเติบโตไปกับกลุ่ม Healthcare อย่างมั่นคง




นักลงทุนหลายท่านอาจมองว่าหุ้นในกลุ่ม Healthcare เป็นหุ้นประเภท Defensive Stocks หรือเป็นหุ้นที่มีความทนทาน ปลอดภัยในทุกสภาวะตลาด อธิบายง่าย ๆ ก็คือไม่ว่าสภาวะเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร เราก็ยังต้องใช้บริการทางการแพทย์ ซึ่งน่าจะเป็นกลุ่มที่ตลาดให้ความสนใจในวันที่หันไปทางไหนก็เห็นแต่ภาวะตลาดที่ไม่ดี มีความไม่แน่นอนสูง ทั้งปัจจัยการเมืองและปัจจัยเศรษฐกิจทั่วโลก วันนี้ K WEALTH ขอถือโอกาสนี้มาเล่าให้ฟังว่าหุ้นในกลุ่มนี้มีเสน่ห์ชวนลงทุนอย่างไรในปี 2567 ซึ่งเป็นปีที่ตลาดหุ้นหลาย ๆ แห่งทั่วโลกมีความผันผวนสูง




อะไรเป็นจุดเด่นที่ทำให้หุ้นกลุ่ม Healthcare มีความน่าสนใจ?

1. นักลงทุนเริ่มหมุนเงินออกมาเข้าหุ้นกลุ่ม Defensive หลังจากผิดหวังงบหุ้นกลุ่ม Tech: เราจะเห็นว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดหุ้นที่ใหญ่ที่สุดในโลก ในรอบ 1 เดือนที่ผ่านมามีการปรับตัวลงแรง สาเหตุเป็นเพราะหุ้นพี่ใหญ่ในกลุ่ม Technology ไม่ว่าจะเป็น Alphabet หรือ Tesla รายงานผลประกอบการออกมาน่าผิดหวัง ทำให้ตลาดผันผวนเนื่องจากนักลงทุนเทขายหุ้นในกลุ่ม Growth เช่นหุ้น Tech ขนาดใหญ่ที่เติบโตดีบวกกระแส AI ที่ทำให้ Hype กันขึ้นไปอีก มาเข้าลงทุนในหุ้นกลุ่ม Value ที่เป็น Defensive Play ซึ่งหุ้นในกลุ่ม Healthcare ก็เป็นหนึ่งในนั้น เนื่องจากตลาดมองว่ามีความปลอดภัย ผันผวนน้อยกว่า ทำให้เราเห็นการปรับตัวของราคาดัชนีของกลุ่ม Healthcare ขึ้นมาอย่างโดดเด่นในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมากว่า 5% เทียบกับกลุ่ม Tech ที่มีการปรับตัวลดลงราว 15% ในรอบหนึ่งเดือน


Source: YahooFinance


2. แนวโน้มการเติบโตกำไรยังดี: แม้ว่าผลประกอบการของหุ้นกลุ่ม Healthcare สหรัฐฯ ในไตรมาส 2/2567 ที่ผ่านมากำไรเติบโตโดดเด่น (+12.0% YoY) เป็นอันดับที่สี่ในทุกกลุ่มอุตสาหกรรม หนุนจากรายได้ที่เติบโตได้ดี (เติบโต 6.5% YoY) เป็นอันดับสามในบรรดาทุกกลุ่มอุตสาหกรรม แต่ทั้งบริษัทในกลุ่ม Healthcare และนักวิเคราะห์ยังคงมีมุมมองที่เป็นบวกกับแนวโน้มของอุตสาหกรรม Healthcare ในช่วงที่เหลือของปีนี้ไปจนถึงปี 2568 โดยในมุมของแนวโน้มของบริษัท (guidance) จะเห็นว่ามีถึง 33 บริษัท Healthcare จาก 50 บริษัทใน S&P 500 ที่ให้ guidance เชิงบวกต่อแนวโน้มของกิจการ ซึ่งคิดเป็นจำนวนมากที่สุดในบรรดาทุกกลุ่มอุตสาหกรรม สอดคล้องกับคาดการณกำไรกลุ่ม Healthcare ของนักวิเคราะห์ ที่มองอัตราการเติบโตของกำไรหุ้นกลุ่ม Healthcare ในปี 2568 ที่ 19.6% ซึ่งสูงสุดเป็นอันดับ 2 ในบรรดาทุกอุตสาหกรรม และมากกว่าคาดการณอัตราเติบโตกำไรของตลาดในปี 2568 ที่ 14.8%





ที่มา: FactSet


เหตุผลหลัก ๆ ที่ทั้งบริษัท Healthcare และนักวิเคราะห์มีมุมมองเชิงบวกต่อกลุ่ม Healthcare มีอยู่ 2 ข้อคือ


2.1Aging Society ยังคงดำเนินต่อไป: แม้เราจะได้ยินคำว่า Aging Society หรือสังคมผู้สูงอายุมานานแล้ว ก็ยังไม่มีวี่แววว่า Trend นี้จะเปลี่ยนไป โดยอ้างอิงจากข้อมูลของ US Census Bureau คาดการณ์ว่าในปี 2573 หรือในอีก 6 ปีข้างหน้า สัดส่วนผู้ที่มีอายุเกิน 65 ปีในสหรัฐฯ จะคิดเป็น 21% ของคนในประเทศ เพิ่มขึ้นจาก 17% ในปี 2563 ซึ่งจะนำไปสู่อัตราการใช้บริการ Healthcare ที่สูงขึ้นด้วย


2.2 การอนุมัติผลิตภัณฑ์ยาใหม่ในปี 2566 ที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะ (55 ชนิด สูงสุดเป็นอันดับ 2 ในรอบ 30 ปี) แปลว่าทางผู้ผลิตยาเห็นว่ามีแนวโน้มอุปสงค์การใช้ยาเพิ่มขึ้น ยกตัวอย่างเช่นยา GLP-1 ยารักษาเบาหวานและใช้เป็นยาลดความอ้วนที่ได้รับผลตอบรับที่ดี เป็นต้น



ที่มา: US Census Bureau (รูปซ้าย) FDA (รูปขวา)


3. Valuation ยังไม่แพง: หากมาดูในเชิง valuation หรือการประเมินมูลค่าหุ้น เพื่อดูว่าตอนนี้หุ้นกลุ่ม Healthcare แพงแล้วหรือยัง เมื่อเทียบกับแนวโน้มการเติบโตของอุตสาหกรรม ซึ่งเราจะใช้อัตราส่วนที่เรียกว่า Forward Price to Earnings Ratio หรือ Forward PE คำนวณโดยเอาราคาหุ้นปัจจุบันหารด้วยกำไรในอนาคต โดยจะเห็นว่า Forward PE ของกลุ่ม Healthcare อยู่ที่ 19.3 เท่า ซึ่งยังถือว่าไม่แพงเมื่อเทียบกับกลุ่มอื่น ๆ และด้วยความเป็นหุ้น Defensive โดยธรรมชาติก็จะช่วยพอร์ตการลงทุนในแง่ของกระจายความเสี่ยงได้เป็นอย่างดีในภาวะที่ตลาดผันผวน


ที่มา: FactSet



หุ้นในกลุ่ม Healthcare ที่น่าสนใจหรือควรรู้จักมีตัวไหนบ้าง?

ถ้าพูดถึงบริษัทในกลุ่ม Healthcare หลาย ๆ คนอาจจะนึกถึงบริษัท AstraZeneca หรือ Pfizer เป็นชื่อแรก ๆ จากสถานการณ์ COVID-19 ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาในฐานะผู้ผลิตวัคซีนต้าน COVID แต่ในความเป็นจริงแล้วยังมีบริษัทในกลุ่ม Healthcare อีกมากมายที่มีความน่าสนใจ ที่มีการเติบโตของผลประกอบการและราคาหุ้นขึ้นมาอย่างโดดเด่นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วันนี้ทาง K WEALTH จึงขอหยิบมาซัก 4-5 บริษัทในกลุ่ม Healthcare จากหลากหลายอุตสาหกรรม ที่เราคิดว่าน่าสนใจมาสรุปให้นักลงทุนรู้จักกัน


ที่มา: Investing.com and Companies Data


ถ้าอยากลงทุนในกลุ่ม Healthcare K WEALTH แนะนำยังไงดี?

หากว่าอ่านมาถึงตรงนี้แล้วสนใจลงทุนแต่ไม่รู้จะเลือกลงทุนในหุ้น Healthcare ตัวไหนดี หรือไม่อยากเปิดพอร์ทลงทุนต่างประเทศเพื่อลงทุนในหุ้นโดยเฉพาะ เราแนะนำให้ลงทุนในกองทุน K-GHEALTH เนื่องจากมีความน่าสนใจหลายประการ ดังนี้ 1) กองทุนนี้ลงทุนในกองทุนหลักของ JPMorgan Funds-Global Healthcare Fund Class-A (acc) USD ซึ่งในพอร์ทการลงทุนถ้าไปดูใน Top 10 Holdings จะเห็นว่ามีทั้ง 3 บริษัทที่เรายกขึ้นมาแนะนำ รวมถึงมีการกระจายการลงทุนที่ดีโดยมีทั้งหุ้น Growth เช่นหุ้นในกลุ่ม Pharmaceutical และ Biotech และหุ้นในกลุ่ม Value (Defensive) ซึ่งเป็นหุ้นพื้นฐานดีมีความผันผวนน้อย; และ2) มีทางเลือกที่หลากหลายสำหรับนักลงทุนเพราะ K-GHEALTH มีนโยบายทั้งป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (Hedged ค่าเงิน) สำหรับนักลงทุนที่กังวลเรื่องความเสี่ยงค่าเงิน และก็มีนโยบายไม่ป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน (Unhedged ค่าเงิน) ด้วยเช่นเดียวกัน


หากท่านมีสัดส่วนการลงทุนใน K-GHEALTH อยู่แล้วแต่ไม่มากนัก เช่นไม่เกิน 25% ของพอร์ท ก็แนะนำให้ทยอยซื้อเพิ่มได้ แต่ถ้ามีเกินแล้วเราแนะนำให้คงสัดส่วนการถือเอาไว้ ไม่ซื้อเพิ่มเพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านการกระจุกตัวของการลงทุน (concentration risk) แต่ถ้าเป็นนักลงทุนใหม่ แนะนำให้มีติดพอร์ทไว้เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสการเติบโตไปกับหุ้น Healthcare โลกที่ยังมีแนวโน้มที่ดีทั้งช่วงสั้นกลางและยาว



ขอขอบคุณข้อมูลจาก:

• YahooFinance, FDA, FactSet, US CensusBereau, Companies data, investing.com




ผู้เขียน

K WEALTH จิรพัฒน์ จิรนิรันดร์กุล CFA
Back to top