ที่มา: FactSet
เหตุผลหลัก ๆ ที่ทั้งบริษัท Healthcare และนักวิเคราะห์มีมุมมองเชิงบวกต่อกลุ่ม Healthcare มีอยู่ 2 ข้อคือ
2.1Aging Society ยังคงดำเนินต่อไป: แม้เราจะได้ยินคำว่า Aging Society หรือสังคมผู้สูงอายุมานานแล้ว ก็ยังไม่มีวี่แววว่า Trend นี้จะเปลี่ยนไป โดยอ้างอิงจากข้อมูลของ US Census Bureau คาดการณ์ว่าในปี 2573 หรือในอีก 6 ปีข้างหน้า สัดส่วนผู้ที่มีอายุเกิน 65 ปีในสหรัฐฯ จะคิดเป็น 21% ของคนในประเทศ เพิ่มขึ้นจาก 17% ในปี 2563 ซึ่งจะนำไปสู่อัตราการใช้บริการ Healthcare ที่สูงขึ้นด้วย
2.2 การอนุมัติผลิตภัณฑ์ยาใหม่ในปี 2566 ที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะ (55 ชนิด สูงสุดเป็นอันดับ 2 ในรอบ 30 ปี) แปลว่าทางผู้ผลิตยาเห็นว่ามีแนวโน้มอุปสงค์การใช้ยาเพิ่มขึ้น ยกตัวอย่างเช่นยา GLP-1 ยารักษาเบาหวานและใช้เป็นยาลดความอ้วนที่ได้รับผลตอบรับที่ดี เป็นต้น
ที่มา: US Census Bureau (รูปซ้าย) FDA (รูปขวา)
3. Valuation ยังไม่แพง: หากมาดูในเชิง valuation หรือการประเมินมูลค่าหุ้น เพื่อดูว่าตอนนี้หุ้นกลุ่ม Healthcare แพงแล้วหรือยัง เมื่อเทียบกับแนวโน้มการเติบโตของอุตสาหกรรม ซึ่งเราจะใช้อัตราส่วนที่เรียกว่า Forward Price to Earnings Ratio หรือ Forward PE คำนวณโดยเอาราคาหุ้นปัจจุบันหารด้วยกำไรในอนาคต โดยจะเห็นว่า Forward PE ของกลุ่ม Healthcare อยู่ที่ 19.3 เท่า ซึ่งยังถือว่าไม่แพงเมื่อเทียบกับกลุ่มอื่น ๆ และด้วยความเป็นหุ้น Defensive โดยธรรมชาติก็จะช่วยพอร์ตการลงทุนในแง่ของกระจายความเสี่ยงได้เป็นอย่างดีในภาวะที่ตลาดผันผวน
ที่มา: FactSet
หุ้นในกลุ่ม Healthcare ที่น่าสนใจหรือควรรู้จักมีตัวไหนบ้าง?
ถ้าพูดถึงบริษัทในกลุ่ม Healthcare หลาย ๆ คนอาจจะนึกถึงบริษัท AstraZeneca หรือ Pfizer เป็นชื่อแรก ๆ จากสถานการณ์ COVID-19 ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาในฐานะผู้ผลิตวัคซีนต้าน COVID แต่ในความเป็นจริงแล้วยังมีบริษัทในกลุ่ม Healthcare อีกมากมายที่มีความน่าสนใจ ที่มีการเติบโตของผลประกอบการและราคาหุ้นขึ้นมาอย่างโดดเด่นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วันนี้ทาง K WEALTH จึงขอหยิบมาซัก 4-5 บริษัทในกลุ่ม Healthcare จากหลากหลายอุตสาหกรรม ที่เราคิดว่าน่าสนใจมาสรุปให้นักลงทุนรู้จักกัน
ที่มา: Investing.com and Companies Data
ถ้าอยากลงทุนในกลุ่ม Healthcare K WEALTH แนะนำยังไงดี?
หากว่าอ่านมาถึงตรงนี้แล้วสนใจลงทุนแต่ไม่รู้จะเลือกลงทุนในหุ้น Healthcare ตัวไหนดี หรือไม่อยากเปิดพอร์ทลงทุนต่างประเทศเพื่อลงทุนในหุ้นโดยเฉพาะ เราแนะนำให้ลงทุนในกองทุน K-GHEALTH เนื่องจากมีความน่าสนใจหลายประการ ดังนี้ 1) กองทุนนี้ลงทุนในกองทุนหลักของ JPMorgan Funds-Global Healthcare Fund Class-A (acc) USD ซึ่งในพอร์ทการลงทุนถ้าไปดูใน Top 10 Holdings จะเห็นว่ามีทั้ง 3 บริษัทที่เรายกขึ้นมาแนะนำ รวมถึงมีการกระจายการลงทุนที่ดีโดยมีทั้งหุ้น Growth เช่นหุ้นในกลุ่ม Pharmaceutical และ Biotech และหุ้นในกลุ่ม Value (Defensive) ซึ่งเป็นหุ้นพื้นฐานดีมีความผันผวนน้อย; และ2) มีทางเลือกที่หลากหลายสำหรับนักลงทุนเพราะ K-GHEALTH มีนโยบายทั้งป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (Hedged ค่าเงิน) สำหรับนักลงทุนที่กังวลเรื่องความเสี่ยงค่าเงิน และก็มีนโยบายไม่ป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน (Unhedged ค่าเงิน) ด้วยเช่นเดียวกัน
หากท่านมีสัดส่วนการลงทุนใน K-GHEALTH อยู่แล้วแต่ไม่มากนัก เช่นไม่เกิน 25% ของพอร์ท ก็แนะนำให้ทยอยซื้อเพิ่มได้ แต่ถ้ามีเกินแล้วเราแนะนำให้คงสัดส่วนการถือเอาไว้ ไม่ซื้อเพิ่มเพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านการกระจุกตัวของการลงทุน (concentration risk) แต่ถ้าเป็นนักลงทุนใหม่ แนะนำให้มีติดพอร์ทไว้เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสการเติบโตไปกับหุ้น Healthcare โลกที่ยังมีแนวโน้มที่ดีทั้งช่วงสั้นกลางและยาว
ขอขอบคุณข้อมูลจาก:
• YahooFinance, FDA, FactSet, US CensusBereau, Companies data, investing.com