วิธีการบริหารพอร์ตการลงทุนให้เติบโตอย่างยั่งยืน
การเลือกลงทุนที่ดีไม่ควรมุ่งเน้นเพียงผลกำไรสูงเพียงอย่างเดียว สิ่งสำคัญยิ่งกว่าคือการบริหารพอร์ตให้มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในระยะยาว โดยเน้นการใช้ประโยชน์จากผลตอบแทนแบบทบต้น ตัวอย่างเช่น
บริษัท Berkshire Hathaway ภายใต้การนำของ Warren Buffett นักลงทุนระดับโลก มีมูลค่าพอร์ตการลงทุนสูงถึง 377,900 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 13.88 ล้านล้านบาท ณ ไตรมาส 1 ปี 2567 การลงทุนในบริษัทนี้มีความโดดเด่นจากการถือครองสินทรัพย์ที่มีคุณภาพและระยะเวลาการลงทุนที่ยาวนานตั้งแต่ปี 1965 ซึ่งสร้างผลตอบแทนทบต้นเฉลี่ยต่อปีประมาณ 20% โดย Berkshire Hathaway เน้นการลงทุนในหุ้นคุณค่า ที่มีความมั่นคงและศักยภาพในการเติบโตในระยะยาว การลงทุนนี้ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงความสำเร็จในด้านการเงิน แต่ยังเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการใช้กลยุทธ์การลงทุนที่มีระเบียบวินัยและการมองการณ์ไกลในตลาดหลักทรัพย์
หนึ่งในวิธีการบริหารพอร์ตการลงทุนให้มีประสิทธิภาพและมีความยืดหยุนในทุกสภาวะตลาด คือกลยุทธ์ "Core & Satellite" ซึ่งจะช่วยให้พอร์ตลงทุนมีความสอดคล้องกับวัตถุประสงค์การลงทุนระยะยาวและแสวงหาโอกาสในการลงทุนระยะสั้น ด้วยการแบ่งเงินลงทุนออกเป็น 2 ส่วน
1.Core พอร์ตหลักคือกลยุทธ์การลงทุนสำหรับสร้างผลตอบแทนระยะยาวโดยมีการซื้อขายไม่บ่อยและกระจายความเสี่ยงในสินทรัพย์หลากหลายเพื่อลดความผันผวน ตัวอย่างเช่น กองทุนรวมดัชนี กองทุนหุ้นประเทศพัฒนาแล้ว หรือกองทุนผสมที่จัดสรรการลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์
2.Satellite พอร์ตรองเป็นกลยุทธ์การลงทุนที่มุ่งเน้นการสร้างผลตอบแทนในระยะสั้น เช่น การลงทุนในธีมเฉพาะ กลุ่มอุตสาหกรรมและภูมิภาค รวมไปถึงการลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือก เพื่อเป็นการลงทุนตามสภาวะตลาดและโอกาสที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้นๆ ซึ่งแตกต่างจากพอร์ตหลักที่เน้นการลงทุนระยะยาวและความมั่นคง การลงทุนในพอร์ตรองนี้ช่วยให้นักลงทุนสามารถสร้างผลกำไรส่วนเพิ่มจากโอกาสที่เกิดขึ้นในตลาดได้อย่างรวดเร็ว
ตัวอย่างพอร์ตการลงทุนหลักที่น่าสนใจ
การเลือกลงทุนในกองทุนรวมผสมมีข้อดีหลายประการที่น่าสนใจ โดยเฉพาะการมีผู้จัดการกองทุนที่มีความเชี่ยวชาญคอยบริหารจัดการเงินลงทุน ซึ่งช่วยลดเวลาและความยุ่งยากในการติดตามตลาด ผู้จัดการกองทุนจะคอยปรับพอร์ตตามสถานการณ์ตลาดอย่างสม่ำเสมอ ลดการกระจุกตัวของสินทรัพย์และเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดีขึ้น อีกทั้งยังช่วยลดความซับซ้อนในการจัดการพอร์ตการลงทุน ทำให้นักลงทุนสามารถมุ่งเน้นไปที่เป้าหมายทางการเงินของตนเองได้อย่างเต็มที่
หนึ่งในกองทุนผสมที่น่าสนใจคือกองทุน K-WPSPEEDUP มีการจัดสัดส่วนและมีความน่าสนใจดังนี้
ผลตอบแทนย้อนหลังของกองทุน K-WPSPEEDUP
หาก DCA ลงทุนใน K-WPSPEEDUP เป็นจำนวนเงิน 5,000 บาท ทุกเดือนตั้งแต่ 20 สิงหาคม 2023 ถึง 23 กรกฎาคม 2024 รวมเป็นเงิน 60,000 บาท โดยลงทุนในช่วงวันที่ 20-25 ของทุนเดือน
จากตัวอย่างจะเห็นว่าจำนวนเงินลงทุนรวม 60,000 บาท ได้หน่วยลงทุนทั้งสิ้น 6,808.98 หน่วย ต้นทุนเฉลี่ยอยู่ที่ 8.83 บาทต่อหน่วย โดยปัจจุบัน ณ 14 ส.ค. 2024 มูลค่าหน่วยลงทุนอยู่ที่ 9.09 บาทต่อหน่วย ทำให้มูลค่าเงินลงทุนเพิ่มขึ้นมาเป็น 61,893.63 บาท ได้กำไร 1,893.63 บาท หรือคิดเป็น 3.16%
ทางเลือกอื่นในการลงทุนเพื่อให้เหมาะสมกับพอร์ตหลัก
นอกจาก K-WPSPEEDUP แล้ว กองทุนผสมในกลุ่ม K-WealthPLUS Series ยังมีอีกหลายกองที่เป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับการเลือกเป็น Core Portfolio เนื่องจากมีการออกแบบเพื่อให้เหมาะสมกับเป้าหมายการลงทุนและระดับความเสี่ยงที่นักลงทุนยอมรับได้ โดยกองทุนในซีรีส์นี้มีความหลากหลายในการลงทุน สามารถเลือกสัดส่วนการลงทุนในหุ้นและตราสารหนี้ได้ตามสไตล์ของแต่ละบุคคล โดยมีรายละเอียดและสัดส่วนดังนี้
การลงทุนที่ประสบความสำเร็จไม่เพียงแต่เกี่ยวข้องกับการเลือกสินทรัพย์ที่ดี แต่ยังรวมถึงการปรับพอร์ตการลงทุนอย่างสม่ำเสมอหรือที่เรียกว่า "Rebalance" ด้วย หากนักลงทุนเลือกที่จะจัดสัดส่วนพอร์ตเป็น Core 80% และ Satellite 20% เมื่อเวลาผ่านไป อาจเกิดการเปลี่ยนแปลงในสัดส่วนการลงทุน เช่น หากกลุ่ม Satellite ที่เลือกไว้สร้างผลตอบแทนที่ดีจนมูลค่าเพิ่มขึ้นเกิน 20% นักลงทุนควรพิจารณาขายทำกำไรและนำเงินที่ได้กลับไปลงทุนใน Core เพื่อรักษาสัดส่วนที่เหมาะสมและสร้างผลตอบแทนระยะยาวอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ การจัดพอร์ตโดยใช้กลยุทธ์ Core & Satellite ยังเป็นวิธีการที่เหมาะสมกับทุกสภาวะตลาด ช่วยให้นักลงทุนสามารถบริหารพอร์ตได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และสร้างโอกาสในการทำผลตอบแทนโดยรวมที่ดีในระยะยาว ดังนั้น การมีวินัยในการปรับพอร์ตจะช่วยให้นักลงทุนสามารถรักษาสมดุลและเพิ่มโอกาสในการเติบโตของการลงทุนได้อย่างยั่งยืน
ขอขอบคุณข้อมูลจาก: Kasikorn Bank, Kasikorn Asset