เปิดโผบริษัทที่ช่วยขับเคลื่อนตลาดหุ้นจีน CSI 300 Index

• ตลาดหุ้นจีน มี 2 ตลาดหลัก คือ H-Share ที่เป็นหุ้นจีนที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกง กับ A-Share ที่เป็นหุ้นจีนที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นจีนแผ่นดินใหญ่ แต่มีดัชนีหุ้นในจีนแผ่นดินใหญ่ 2 ดัชนี คือ ดัชนีตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ และดัชนีตลาดหุ้น เซินเจิ้น


• ดัชนี CSI300 เป็นดัชนีหุ้นใหญ่ 300 ตัวแรกของทั้งตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้และตลาดหุ้นเซินเจิ้น ที่จะช่วยลดความผันผวนจากการลงทุนในตลาดหุ้นจีนเพียงดัชนีเดียว และมีโผหุ้น 5 อันดับแรก คือ หุ้น Kweichow Moutai, ICBC, China Merchant Bank, Ping An Insurance และ Wuliangye Yibin


• K WEALTH มีมุมมองการลงทุนเป็นกลางในตลาดหุ้นจีน เนื่องจากราคาที่ปรับตัวลงมามาก ทำให้โอกาสปรับตัวลงต่อมีน้อย (Limit Downsize Risk) รวมถึงปัจจัยด้านอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่เอื้อต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ โดยเฉพาะภาคอสังหาริมทรัพย์ หากสนใจลงทุน มีทั้งช่องทางการลงทุนในหุ้นต่างประเทศโดยตรง ลงทุนในกองทุนหลักต่างประเทศผ่านบัญชีหุ้นต่างประเทศ และ ลงทุนในกองทุนรวมหุ้นต่างประเทศ อย่าง K-CHINA-A(D)




2-3 ปีที่ผ่านมา ผลตอบแทนจากการลงทุนหุ้นจีน ให้ผลตอบแทนที่ลดลง ไม่ว่าจะเป็นดัชนีหุ้นจีนแผ่นดินใหญ่ หรือ ที่เรียกว่า A-Share กับ ดัชนีหุ้นจีนที่จดทะเบียนในฮ่องกง หรือที่เรียกว่า H-Share แล้วตลาดหุ้นจีนยังมีโอกาสหรือปัจจัยที่น่าสนใจในการลงทุนอะไรบ้าง ลองติดตามบทความนี้



I.ทำความเข้าใจตลาดหุ้นจีน
understand-Chinese-stock-market.jpg

หุ้นจีน ทำการซื้อขายในตลาดใหญ่ 2 แห่ง ได้แก่


1.หุ้นจีนที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกง (H-Share) โดยทั่วไปตลาดหุ้นฮ่องกง ซื้อขายเป็นสกุลเงินดอลลาร์ฮ่องกง เปิดให้นักลงทุนทุกประเภทลงทุนได้ ทำให้นักลงทุนต่างชาตินิยมมาลงทุนมากกว่า เนื่องจากต้องปฏิบัติตามมาตรฐานตลาดหุ้นฮ่องกง ที่เป็นหนึ่งในศูนย์กลางตลาดการเงินของโลก


2.หุ้นจีนที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นจีนแผ่นดินใหญ่ (A-Share) โดยทั่วไปตลาดหุ้นจีนแผ่นดินใหญ่ ซื้อขายเป็นสกุลเงินหยวนจีน เปิดให้นักลงทุนบุคคลที่ถือสัญชาติจีน หรือ นักลงทุนสถาบันที่ได้รับสิทธิพิเศษ เข้าไปลงทุนได้ ดังนั้น จะมีจำนวนนักลงทุนที่มีสิทธิลงทุนได้ไม่มาก


นอกจากตลาดหุ้น H-Share และ A-Share แล้วยังมีหุ้นจีนที่จดทะเบียนในตลาดสหรัฐฯ (ADRs) อีกด้วย หากลงรายละเอียดเฉพาะดัชนีที่เน้นลงทุนในหุ้นจีนแผ่นดินใหญ่ จะมีดัชนีที่ใช้อ้างอิงหรือเป็นตัวแทนของตลาดหุ้นจีน 3 ดัชนี นั่นคือ

- SSE Composite Index หรือ Shanghai Composite Index ประกอบด้วยหุ้นทั้งหมดที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้ ประมาณ 2,100 ตัว โดยตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ ก่อตั้งขึ้นในปี 1990 ปัจจุบันมีมูลค่าตลาดหุ้น ประมาณ 4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ1 มี Sector ที่มีมูลค่าตลาดสูงสุดในกลุ่มการเงิน (Financial) เช่น ธนาคาร ICBC, China Life Insurance Co LTD., กลุ่มพลังงาน (Energy) เช่น PetroChina เป็นต้น

- SZSE Compenent Index ประกอบด้วยหุ้นขนาดใหญ่ 500 ตัวในตลาดฯเซินเจิ้น ก่อตั้งขึ้นในปี 1990 ปัจจุบันมีมูลค่าตลาดหุ้น ประมาณ 5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ1 มี Sector ที่มีมูลค่าตลาดสูงสุดในกลุ่มเทคโนโลยี เช่น BYD ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ากลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค เช่น Wuliangye Yibin Co., Ltd. เป็นผู้ผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อันดับ 2 รองจาก Kweichow Moutai ส่วนใหญ่เป็นหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี และหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมใหม่

- CSI300 Index ประกอบด้วยหุ้นขนาดใหญ่ 300 ตัวจากตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้ (Shanghai Stock Exchange) และตลาดหลักทรัพย์เซินเจิ้น (Shenzhen Stock Exchange) ซึ่งเป็นดัชนีที่สะท้อนความเคลื่อนไหวของหุ้นขนาดใหญ่ในจีนแผ่นดินใหญ่ และเป็นการกระจายความเสี่ยงจากหุ้นทั้ง 2 ตลาด (เซี่ยงไฮ้และเซินเจิ้น) และมักจะเป็นดัชนีหุ้นจีนที่กองทุนรวมหุ้นต่างประเทศของไทย ไปลงทุนเป็นหลัก โดยมีโผบริษัท (5 อันดับมูลค่าตลาดสูงสุด2) ที่ช่วยขับเคลื่อนดัชนี CSI300 ดังนี้

1. Kweichow Moutai เป็นผู้ผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มีชื่อเสี่ยง โดยเฉพาะสุราจีนประเภท Baijiu อยู่ในกลุ่มหุ้นสินค้าฟุ่มเฟือย ที่มีราคาสูงจากการเน้นกลุ่มลูกค้ามีกำลังซื้อสูง มูลค่าตลาด กว่า 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

2. ICBC เป็นธนาคารอุตสาหกรรมและพาณิชย์แห่งประเทศจีน เป็นธนาคารที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกอ้างอิงจากสินทรัพย์รวม มีมูลค่าตลาด ประมาณ 1.93 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

3. China Merchant Bank เป็นธนาคารที่มีความเชี่ยวชาญด้านลูกค้าบุคคลทั่วไปและการบริหารความมั่งคั่ง ได้ประโยชน์จากการเติบโตของชนชั้นกลางของจีน มีมูลค่าตลาด ประมาณ 1.57 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

4. Ping An Insurance เป็นบริษัทประกันภัย ที่ขยายธุรกิจไปสู่การดูแลสุขภาพและฟินเทคในรูปแบบดิจิทัล มีมูลค่า ประมาณ 1.52 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

5. Wuliangye Yibin เป็นผู้ผลิตสุราจีนอีกเจ้า ที่มีมูลค่าการตลาดเป็นรอง Kweichow Moutai ที่มีการเจาะทั้งตลาดพรีเมียมและกลุ่มชนชั้นกลางในจีน มีมูลค่าตลาด ประมาณ 1.30 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ


ที่มา : 1.https://www.atfx.com/en/analysis/trading-strategies/largest-stock-exchanges-in-the-world (ณ วันที่ 22 ก.ค. 67)

2. Investing.com



II.เหตุการณ์สำคัญในประเทศจีนล่าสุด

ต้นปี 67 หลังจากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่อไปในทิศทางชะลอตัว โดยเฉพาะภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ซบเซา ยอดซื้ออสังหาริมทรัพย์ปรับลดลงกว่า 2 หลัก ทำให้ในปี 2566 มีการลดอัตราดอกเบี้ยส่วนการกันสำรองเงินสดของธนาคารพาณิชย์ (RRR) 2 ครั้ง

ครึ่งแรกของเดือน เม.ย. 67 มีการโจมตีระหว่างอิสราเอล และอิหร่าน ทำให้เกิดความตึงเครียดในแถบตะวันออกกลาง ส่งผลต่อตลาดหุ้นทั่วโลก หวั่นจะเกิดสงคราม แต่เป็นความกังวลเพียงระยะสั้นๆ

กลางเดือน ส.ค. 67 ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายระยะกลาง (MLF) ลง 0.20% สู่ 2.30% เป็นการปรับลดลงแรงที่สุดนับตั้งแต่เดือน เม.ย. 63



III.มีอะไรน่าสนใจในตลาดจีน
whats-interesting-in-the-Chinese-market.jpg

โอกาสที่ราคาหุ้นปรับตัวลงมีจำกัด (Limit Downsize Risk) เนื่องจากราคาปรับตัวลดลงมามากแล้ว ทำให้ Valuation ค่อนข้างถูก เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอื่นๆ รวมถึงอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ และประเทศในยุโรป มีแนวโน้มปรับตัวลดลง ส่งผลต่อดีต่อตลาดหุ้นทั่วโลก


อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่อยู่ในระดับต่ำ ปัจจุบัน อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระยะกลาง (MLF) ลดลงสู่ 2.30% ซึ่งเป็นการปรับลดลงมากที่สุด นับตั้งแต่เดือน เม.ย. 63 เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจภายใน รวมถึงการบริโภคและภาคอสังหาริมทรัพย์ที่กดดันให้ อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ไตรมาส 2 ปี 2567 เติบโต 4.7% YoY ซึ่งต่ำกว่าคาดการณ์ที่ 5.1%


มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของทางการจีน จากการประชุมคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์ของจีนที่มีอำนาจตัดสินใจสูงสุดของพรรคคอมมิวนิสต์จีน หรือ Third Plenum เน้นการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจระยะยาวทั้งด้านนวัตกรรม การขยายเขตเมือง อุตสาหกรรมสมัยใหม่ และด้านทรัพยากร



IV.ช่องทางการลงทุนในหุ้นจีน

1.ลงทุนผ่านหุ้นต่างประเทศโดยตรง

ข้อดี คือ เลือกหุ้นที่มีโอกาสได้โดยตรง

ข้อระวัง คือ ต้องมีเวลาติดตามและอาจมีภาระภาษีจากผลตอบแทนที่นำกลับมาประเทศไทย รวมถึงความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน


2.ลงทุนผ่านกองทุนหลักในต่างประเทศ ด้วยบัญชีหุ้นต่างประเทศ

ข้อดี คือ มีมืออาชีพช่วยเลือกหุ้นที่ลงทุน

ข้อระวัง คือ อาจมีภาระภาษีจากผลตอบแทนที่นำกลับมาประเทศไทย และความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน


3.ลงทุนผ่านกองทุนรวมหุ้นอินเดีย ที่จัดตั้งในประเทศไทย

ข้อดี คือ มีมืออาชีพช่วยเลือกหุ้นผ่านกองทุนหลักและไม่มีภาระภาษีจากผลตอบแทนจากการลงทุนในต่างประเทศ

ข้อระวัง คือ ควรทำความเข้าใจกองทุนหลักก่อนตัดสินใจลงทุน


คำแนะนำ K WEALTH มีมุมมองเป็นกลาง ที่ต้องรอการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศ เช่น กำลังบริโภคภายในประเทศโดยดูจากตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) และ การกระตุ้นเศรษฐกิจภาคอสังหาริมทรัพย์ ที่มีแนวโน้มดีขึ้น โดยดูได้จากราคาบ้านในจีนปรับตัวเป็นขาขึ้น และ การปรับคาดการณ์กำไรของบริษัทจดทะเบียนในจีนขึ้น จะเป็นสัญญาณฟื้นตัว ถึงแม้จะมี Valuation ที่ค่อนข้างถูก จากราคาที่ปรับตัวลดลงมาเยอะ แต่ขาดปัจจัยสนับสนุนตลาด ทำให้ต้องระมัดระวังสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนเพิ่ม หากผู้ลงทุนถืออยู่แล้วและมีสัดส่วนกองทุนหุ้นจีน มากกว่า 30% ของพอร์ต แนะนำให้ทยอยปรับลดสัดส่วนลง หากมีสัดส่วนกองทุนหุ้นจีน ไม่เกิน 30% สามารถถือลงทุนต่อได้ สำหรับผู้ที่สนใจลงทุนกองทุนในตลาดจีน สามารถศึกษาข้อมูลกองทุน K-CHINA-A(D) เพิ่มเติมได้



คำเตือน


ผู้เขียน

K WEALTH สุนิติ ถนัดวณิชย์ CFP®
Back to top