เคยสงสัยไหมว่าทำไมบริษัทอย่าง Apple, Microsoft หรือ Amazon ถึงได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั่วโลกมากขนาดนี้ คำตอบอยู่ที่ “Market Capitalization” หรือ “มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด” นั่นเอง แล้ว Market Cap. คืออะไร มีความสำคัญอย่างไร วันนี้เรามาทำความรู้จักกับ Market Cap. พร้อมเจาะลึกบริษัทยักษ์ใหญ่ที่มีมูลค่าครองอันดับต้นๆ ของโลกกัน
Market Cap. คืออะไร ทำไมถึงสำคัญ
Market Cap. หรือ มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด คือ ตัวเลขที่บ่งบอกถึงขนาดของบริษัทในตลาดหุ้นซึ่งคำนวณจาก
ราคาหุ้น x จำนวนหุ้นทั้งหมด
เช่น บริษัท A มีหุ้นจำนวน 1 ล้านหุ้น ราคาหุ้นละ 100 บาท ดังนั้น Market Cap. บริษัท A จะเท่ากับ 100 ล้านบาท
Market Cap. มีความสำคัญเนื่องจากเป็นเครื่องมือที่บอกให้นักลงทุนรู้ว่าบริษัทนั้นๆ มีขนาดใหญ่แค่ไหน มีความมั่นคงมากน้อยเพียงใด โดยบริษัทที่มี Market Cap. สูงมักจะเป็นบริษัทที่มีฐานะการเงินแข็งแกร่ง มีโอกาสเติบโตสูง และมีความเสี่ยงต่ำกว่าบริษัทขนาดเล็ก
เจาะลึก 10 บริษัทมูลค่าตลาดสูงสุดของโลกปี 2024
ตลาดหุ้นทั่วโลกปี 2024 แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงอันดับบริษัทที่มีมูลค่าตลาดสูงสุดของโลก สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของเทคโนโลยี AI และชิปประมวลผลที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด โดย 10 บริษัทมูลค่าตลาดสูงสุดของโลก ได้แก่
1. Apple (AAPL)
แบรนด์สมาร์ทโฟนและเทคโนโลยีชั้นนำ ผู้สร้างนวัตกรรมที่เปลี่ยนโลกด้วย iPhone, iPad และ Mac มูลค่าตลาด: 3,382 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จากความนิยมของ iPhone, iPad และบริการต่างๆ
2. Microsoft (MSFT)
ผู้นำด้านซอฟต์แวร์และบริการคลาวด์ เจ้าของ Windows, Office 365 และ Azure มูลค่าตลาด: 3,206 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ด้วยความแข็งแกร่งของผลิตภัณฑ์อย่าง Windows, Office และบริการคลาวด์ Azure ที่ครองใจผู้ใช้งานทั่วโลก
3. NVIDIA (NVDA)
บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านชิปประมวลผลกราฟิกและ AI ผู้อยู่เบื้องหลังการพัฒนา AI และเกมคอมพิวเตอร์ มูลค่าตลาด: 2,921 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จากความต้องการชิป GPU และเทคโนโลยี AI ที่พุ่งสูงขึ้น
4. Amazon (AMZN)
ราชาอีคอมเมิร์ซและบริการคลาวด์ ผู้นำด้านการขายสินค้าออนไลน์และบริการ Amazon Web Services (AWS) มูลค่าตลาด: 1,957 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งยังคงเป็นยักษ์ใหญ่ในวงการอีคอมเมิร์ซและคลาวด์
5. Alphabet (Google) (GOOG)
เจ้าแห่งการค้นหาออนไลน์และบริการดิจิทัล เจ้าของ Google Search, YouTube และ Android มูลค่าตลาด: 1,943 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งยังคงครองตลาดเสิร์ชเอนจินและโฆษณาออนไลน์
6. Saudi Aramco (2222.SR)
บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่จากซาอุดีอาระเบีย ผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลก มูลค่าตลาด: 1,757 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นตัวแทนอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซที่ยังทรงพลัง
7. Meta Platforms (Facebook) (META)
แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียชั้นนำของโลก เจ้าของ Facebook, Instagram และ WhatsApp มูลค่าตลาด: 1,327 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ยังคงเป็นผู้นำด้านโซเชียลมีเดีย
8. Berkshire Hathaway (BRK-B)
บริษัทลงทุนของมหาเศรษฐี Warren Buffett ที่ลงทุนในหลากหลายอุตสาหกรรม มูลค่าตลาด: 964 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
9. TSMC (TSM)
ผู้ผลิตชิปรายใหญ่ที่สุดของโลก โดยผลิตชิปให้กับบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำทั่วโลก มูลค่าตลาด: 876 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
10. Eli Lilly (LLY)
บริษัทยาและเวชภัณฑ์ชั้นนำระดับโลก ผู้พัฒนายารักษาโรคเบาหวานและมะเร็ง มูลค่าตลาด: 831 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
ที่มา: Companies Market Cap ณ วันที่ 16 ก.ย. 67
การจัดอันดับนี้แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่มีต่อเศรษฐกิจโลก โดยมีบริษัทด้านเทคโนโลยีครองอันดับต้นๆ ถึง 7 จาก 10 อันดับ สะท้อนให้เห็นถึงทิศทางการเติบโตของโลกดิจิทัลและความสำคัญของ AI ในอนาคต
เบื้องหลังความสำเร็จของบริษัทระดับโลก
สิ่งที่ทำให้บริษัทเหล่านี้ประสบความสำเร็จและมี Market Cap. สูง คือ
1. นวัตกรรมและการเป็นผู้นำตลาด บริษัทเหล่านี้มักเป็นผู้นำในการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ อย่างบริษัท Apple กับการสร้างสรรค์ iPhone หรือบริษัท Amazon กับการให้บริการ AWS
2. ฐานะการเงินแข็งแกร่ง บริษัทเหล่านี้มีเงินสดมหาศาล สามารถลงทุนในโครงการใหม่ๆ หรือซื้อกิจการอื่นๆ ได้ง่าย และขยายกิจการได้อย่างรวดเร็ว
3. แบรนด์ระดับโลก บริษัทเหล่านี้มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก ช่วยดึงดูดลูกค้าให้มาซื้อสินค้าหรือบริการและดึงดูดนักลงทุนให้เข้ามาลงทุนในบริษัทมากขึ้น ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อ Market Cap. ของบริษัท
ลงทุนอย่างไรในบริษัทยักษ์ใหญ่
การลงทุนในหุ้นของบริษัทระดับโลกเหล่านี้สามารถทำได้ 2 วิธีหลัก ได้แก่
1. เปิดบัญชีหุ้นเพื่อซื้อหุ้นต่างประเทศโดยตรง
ข้อดี
• ควบคุมการลงทุนได้เอง เลือกหุ้นที่สนใจลงทุนได้
• ไม่มีค่าธรรมเนียมการจัดการกองทุน
ข้อควรระวัง
• ต้องมีความรู้และเวลาในการวิเคราะห์หุ้น
• อาจต้องใช้เงินลงทุนค่อนข้างสูงต่อหุ้น
• ต้องติดตามข่าวสารและผลประกอบการบริษัทอย่างใกล้ชิด
2. ลงทุนผ่านกองทุนรวม
ข้อดี
• กระจายความเสี่ยงได้ดีกว่า ไม่ต้องพึ่งพาบริษัทใดบริษัทหนึ่ง
• เหมาะกับผู้ที่มีเงินลงทุนน้อย เริ่มต้นได้ด้วยเงินลงทุนเพียง 500 บาท
• มีผู้จัดการกองทุนดูแลให้ ไม่ต้องติดตามข่าวสารรายบริษัท
ข้อควรระวัง
• ผลตอบแทนอาจไม่สูงเท่าการลงทุนโดยตรงในหุ้นที่มีผลประกอบการดี
ตัวอย่างกองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้นบริษัทยักษ์ใหญ่
สำหรับผู้ที่สนใจลงทุนในหุ้นบริษัทยักษ์ใหญ่แบรนด์ดังระดับโลกผ่านกองทุนรวม ซึ่งมีคนคัดเลือกหุ้นคุณภาพดีทั่วโลกมาให้แล้ว มีกองทุนหุ้นต่างประเทศแนะนำดังนี้
• กองทุน K-GSELECT* ลงทุนในกองทุนหลัก JPMorgan Global Select Equity ETF ซึ่งเป็นกองทุนอีทีเอฟที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ NASDAQ ประเทศสหรัฐอเมริกา และมีนโยบายเน้นลงทุนในหุ้นของบริษัทในประเทศที่พัฒนาแล้วทั่วโลก โดยเป็นหุ้นคุณภาพดีที่มีการเติบโตในระยะยาว 70 - 100 ตัว
ตัวอย่างหุ้น 10 อันดับแรกในกองทุนหลัก JPMorgan Global Select Equity ETF
ที่มา: JPMorgan Global Select Equity ETF as of 09/16/2024
การทำความเข้าใจเรื่อง Market Cap. และรู้จักบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลกเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับนักลงทุน ช่วยให้เราเห็นภาพรวมของตลาดหุ้นโลกได้ชัดเจนขึ้น แม้การลงทุนในหุ้นเหล่านี้โดยตรงอาจไม่ใช่เรื่องง่าย แต่การลงทุนผ่านกองทุนรวมก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจและสะดวกไม่น้อย อย่างไรก็ตาม ก่อนตัดสินใจลงทุน ควรศึกษาข้อมูลให้รอบด้าน พิจารณาความเสี่ยงที่ยอมรับได้ และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนอยู่เสมอ เพื่อสร้างพอร์ตการลงทุนที่เหมาะกับเป้าหมายทางการเงินของคุณ
*คำเตือน
• กองทุนมีระดับความเสี่ยงที่ 6 (จากสูงสุด 8 ระดับ)
• มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน
• ขายคืนได้ทุกวันทำการ โดยจะได้รับเงินค่าขายคืน 3 วันทำการถัดจากวันที่ทำรายการ (T+3) เช่น ขายคืนวันพุธ จะได้รับเงินค่าขายคืนวันจันทร์ (กรณีไม่มีวันหยุดอื่น นอกจากเสาร์-อาทิตย์)
Disclaimer: “ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน”
ขอขอบคุณข้อมูลจาก :
• บลจ.กสิกรไทย, Companies Market Cap