ตลาดหุ้นฮ่องกงปรับตัวขึ้นแรงในสัปดาห์ที่ผ่านมา รับ Fed ลดดอกเบี้ย
สัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดหุ้นฮ่องกงปรับตัวขึ้นแรงรับข่าวการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายและมุมมองเชิงบวกต่อประมาณการเศรษฐกิจของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) โดยระหว่างวันที่ 16-20 ก.ย. 2567 ดัชนี Hang Seng ปรับตัวขึ้น 5.12% และดัชนี Hang Seng China Enterprise ปรับตัวขึ้น 5.11%
การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ Fed ส่งผลให้ธนาคารกลางฮ่องกงซึ่งกำหนดนโยบายการเงินในทิศทางเดียวกับ Fed ตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงเช่นกัน ช่วยลดแรงกดดันต่อหุ้นกลุ่มพัฒนาอสังหาฯ และหนุนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี นำโดย บริษัท China Resources Land, Alibaba, Tencent, Meituan และ CSPC Pharmaceutical Group
การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นฮ่องกงรวมถึงกลุ่มหุ้นอสังหาฯ และเทคโนโลยี จะเอื้อให้มีผลในเชิงบวกต่อ NAV กองทุน K-CHINA* (ระดับความเสี่ยง 6 จาก 8 ระดับ) ซึ่งมีสัดส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นฮ่องกงและกลุ่มอุตสาหกรรมดังกล่าว ขณะที่ K-CCTV* (ระดับความเสี่ยง 6 จาก 8 ระดับ) และ K-CHX* (ระดับความเสี่ยง 6 จาก 8 ระดับ) ที่เน้นลงทุนในตลาดหุ้น A-Share (จีนแผ่นดินใหญ่) มีโอกาสได้รับปัจจัยบวกน้อยกว่า โดยรับอานิสงส์บางส่วนผ่าน Sentiment เชิงบวกของนักลงทุนในตลาดหุ้นจีนโดยรวมและตลาดหุ้นโลก เพราะหุ้นโดยส่วนใหญ่ในตลาดหุ้นจีนแผ่นดินใหญ่ทั้งดัชนี A50 และ CSI300 ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าจำเป็นและอุตสาหกรรมมีความอ่อนไหวกับเศรษฐกิจภายในประเทศมากกว่า
มุมมองการลงทุน
การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นฮ่องกงในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มาจาก Sentiment บวกของตลาดหุ้นโลกที่ ธนาคารกลางสหรัฐฯ ลดดอกเบี้ย แต่เมื่อพิจารณาจากเศรษฐกิจจีน ยังคงเผชิญกับปัญหาภาคอสังหาริมทรัพย์ภายในประเทศ และการบริโภคของภาคประชาชนที่ชะลอตัวลง ทำให้มุมมองต่อเศรษฐกิจจีนในอนาคตยังไม่สดใส แม้ทางการจีนจะพยายามใช้นโยบายการเงินและการคลังในการช่วงเหลืออย่างต่อเนื่อง แต่ไม่สามารถเรียกความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศได้ ประกอบกับกำไรของบริษัทจดทะเบียนยังโดนกดดันอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าระดับ Valuation ยังคงอยู่ในระดับน่าสนใจก็ตาม K WEALTH จึงมีมุมมองเป็นกลาง (Neutral) ต่อตลาดหุ้นจีน
และแนะนำให้ลงทุนในกลุ่ม Global Healthcare และ Global Infrastructure ซึ่งมีมูลค่าเหมาะสม รูปแบบธุรกิจทนทานต่อความผันผวนของเศรษฐกิจ และได้รับอานิสงส์จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ย
โดยมีคำแนะนำในกองทุนแนะนำ มีดังนี้
• ผู้ที่รับความเสี่ยงจากการลงทุนได้
o แนะนำพิจารณาลงทุนกองทุน K-GHEALTH* (ระดับความเสี่ยง 6 จาก 8 ระดับ) ลงทุนในบริษัท Healthcare ครอบคลุมทั้งกลุ่ม Defensive เช่น Pharmaceutical, Healthcare Services และกลุ่ม Growth เช่น Medtech, Biotechnology
o แนะนำพิจารณาลงทุนกองทุน K-VIETNAM* (ระดับความเสี่ยง 6 จาก 8 ระดับ) ลงทุนหุ้นเวียดนามที่รับประโยชน์จากการเติบโตของเศรษฐกิจ เช่น บริโภคภายใน การเงิน อุตสาหกรรม
o แนะนำพิจารณาลงทุนกองทุน K-GINFRA* (ระดับความเสี่ยง 6 จาก 8 ระดับ) ซึ่งลงในบริษัทด้านโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลก เช่น ท่อก๊าซ โรงไฟฟ้า สนามบิน
o แนะนำพิจารณาลงทุนกองทุน K-GOLD** (ระดับความเสี่ยง 8 จาก 8 ระดับ) เพื่อรับกับความผันผวนจากสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน
• สำหรับนักลงทุนที่มีความกังวลต่อความผันผวนของตลาดหุ้น หรือกังวลกับความเสี่ยงในการลงทุน
o หากรับความเสี่ยงได้บ้าง หรือเป็นเงินลงทุนที่ถือได้อย่างน้อย 1 ปี ขอแนะนำกองทุนตราสารหนี้ ได้แก่
กองทุน K-FIXED-A** (ระดับความเสี่ยง 4 จาก 8 ระดับ) ในกรณีที่ไม่ต้องการรับความเสี่ยงจากการลงทุนต่างประเทศ
กองทุน K-FIXEDPLUS** (ระดับความเสี่ยง 4 จาก 8 ระดับ) ในกรณีที่ต้องการเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนจากการลงทุนต่างประเทศหรือรับความเสี่ยงจากการลงทุนต่างประเทศได้
• หากรับความเสี่ยงได้ต่ำ หรือต้องการหลีกเลี่ยงทางเลือกที่มีความผันผวน หรือต้องการพักเงินสั้นๆ เพื่อรอจังหวะเข้าลงทุนอีกครั้ง แนะนำ
o กองทุน K-SF-A** (ระดับความเสี่ยง 4 จาก 8 ระดับ) ซึ่งเหมาะกับการลงทุน 1-3 เดือน
o กองทุน K-SFPLUS** (ระดับความเสี่ยง 4 จาก 8 ระดับ) เหมาะกับการลงทุน 3-6 เดือน
ขอขอบคุณข้อมูลจาก Bloomberg, CNBC
Disclaimer: “ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน”
*กองทุน K-GHEALTH, K-VIETNAM, K-GINFRA, K-CHINA, K-CHX และ K-CCTV มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุนหรือป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนบางส่วน
**กองทุน K-FIXED-A, K-FIXEDPLUS, K-SF-A, K-SFPLUS และ K-GOLD มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมด