ทองมีดีอะไร ทำไม All Time High

สาเหตุที่ราคาทองคำทำจุดสูงสุดในปี 2024 และการเปรียบเทียบการลงทุนในทองคำกับสินทรัพย์อื่น ๆ เพื่อช่วยให้นักลงทุนเลือกสินทรัพย์ที่เหมาะสมกับเป้าหมายและความเสี่ยง

• ปัจจัยที่ทำให้ราคาทองคำทำจุดสูงสุดใหม่ในปี 2024 มาจากปัจจัยหลัก 4 ประการ 1. ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจโลกและความขัดแย้งในประเทศต่างๆ 2. นโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย 3. การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ 4. การเก็งกำไรของนักลงทุน ล้วนสนับสนุนให้ราคาทองคำพุ่งสูงขึ้น


• การเปรียบเทียบการลงทุนในทองคำกับสินทรัพย์อื่น ๆ เช่น พันธบัตร หุ้น ดอลลาร์สหรัฐฯ และที่ดิน เพื่อช่วยให้นักลงทุนสามารถตัดสินใจเลือกสินทรัพย์ที่เหมาะสมกับเป้าหมายและระดับความเสี่ยงของตน โดยเน้นให้เห็นถึงคุณสมบัติของทองคำในการกระจายความเสี่ยงและรักษามูลค่าในช่วงเศรษฐกิจที่ผันผวน




จากบทความครั้งที่แล้ว “ทองคำพุ่งทะยาน! โอกาส หรือ อันตราย” เราได้พูดถึงข้อดีและข้อเสียในการลงทุนในทองคำ โดยแนะนำให้ลงทุนเพื่อการกระจายความเสี่ยงเป็นหลัก จากปัจจัยที่สำคัญ เช่น ความผันผวนด้านราคา ค่าเสียโอกาสจากการลงทุน และยังมีสินทรัพย์อื่นๆ ที่สามารถให้ผลตอบแทนในระยะยาวได้เช่นกัน


บทความนี้จะกล่าวถึงสาเหตุที่ราคาทองคำทำจุดสูงสุดใหม่ในปี 2024 รวมถึงการเปรียบเทียบการลงทุนในทองคำกับสินทรัพย์อื่นๆ เพื่อให้ข้อมูลเชิงลึกสำหรับผู้ที่สนใจการลงทุนในทองคำ


สาเหตุที่ราคาทองคำทำจุดสูงสุดใหม่ในปี 2024

ราคาทองคำในปีนี้พุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์จากหลายปัจจัยสำคัญ เช่น ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมือง นโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และการเก็งกำไรของนักลงทุน ปัจจัยเหล่านี้สร้างแรงจูงใจให้คนหันมาถือครองทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย


1. ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจโลกและความขัดแย้งระหว่างประเทศต่างๆ

ปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้ราคาทองคำพุ่งสูงคือความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจโลก รวมถึงความไม่สงบทางการเมือง เช่น ความกังวลสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย โดยเฉพาะเศรษฐกิจที่สำคัญ เช่น สหรัฐฯ และจีน ความขัดแย้งในยูเครนและความรุนแรงในตะวันออกกลาง เมื่อมีเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้น นักลงทุนมักจะมองหาสินทรัพย์ปลอดภัยในการป้องกันความเสี่ยง โดยทองคำถือเป็นหนึ่งในตัวเลือกหลักที่ใช้สำหรับการปกป้องทรัพย์สินจากความเสี่ยงเหล่านี้


2. นโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย

ธนาคารกลางหลายประเทศได้นำนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมาใช้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้เกิดการลงทุนและการใช้จ่ายเพิ่มขึ้น แต่นโยบายดังกล่าวก็ส่งผลให้ค่าเงินอ่อนค่าลง ซึ่งกระตุ้นให้นักลงทุนมองหาสินทรัพย์ที่มีความมั่นคงและรักษามูลค่าได้ เช่น ทองคำ การอ่อนค่าของสกุลเงินทำให้นักลงทุนมักจะซื้อทองคำเพื่อป้องกันการสูญเสียมูลค่าของเงินตรา และส่งผลให้ราคาทองคำสูงขึ้น


3. การเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน

การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเป็นสกุลเงินหลักที่ใช้ในการซื้อขายทองคำ ทำให้ทองคำมีราคาสูงขึ้นเมื่อวัดในสกุลเงินอื่น ๆ เนื่องจากราคาทองคำถูกกำหนดด้วยเงินดอลลาร์ การอ่อนค่าของดอลลาร์ทำให้นักลงทุนทั่วโลกซื้อทองคำมากขึ้นเพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนของค่าเงิน


4. การเก็งกำไรในตลาดการเงิน

นักลงทุนรายใหญ่และกองทุน ETF ที่เกี่ยวข้องกับทองคำมีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้ราคาทองคำสูงขึ้น การเก็งกำไรในทองคำทำให้อุปสงค์เพิ่มขึ้นในระยะเวลาสั้น ๆ และส่งผลให้ราคาพุ่งสูง เนื่องจากทองคำเป็นสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูง นักลงทุนจึงสามารถซื้อขายได้อย่างรวดเร็วเพื่อเก็งกำไรจากความผันผวนของราคา

จากทั้งหมดที่กล่าวมา ต่างเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้ราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยหากเทียบจากราคาปัจจุบันที่ 2,647.68 ดอลล่าร์ต่อออนซ์ กับราคาในช่วงปี 2023 (ตามภาพ) จะเห็นได้ว่า ราคาทองคำโลกปรับตัวขึ้นมาราว 27.96% แล้ว


กราฟ : ราคาทองคำ (XAU/USD) ปรับตัวทำสถิติสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่อง



ที่มา : Bloomberg ณ วันที่ 7 ต.ค. 2024



เปรียบเทียบการลงทุนในทองคำกับสินทรัพย์อื่น

การลงทุนในทองคำมีบทบาทสำคัญในการสร้างความมั่นคงทางการเงินและกระจายความเสี่ยงของนักลงทุนมาอย่างยาวนาน ด้วยคุณสมบัติที่แตกต่างจากสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ ทองคำถือว่าเป็นสินทรัพย์ที่มั่นคงในช่วงที่เศรษฐกิจไม่แน่นอน อย่างไรก็ตาม การเลือกลงทุนในทองคำควรพิจารณาเปรียบเทียบกับสินทรัพย์อื่นๆ เพื่อทำความเข้าใจว่าทองคำมีจุดเด่นหรือจุดด้อยอย่างไรเมื่อเทียบกับสินทรัพย์แต่ละประเภท


1. ทองคำ vs พันธบัตร

ทองคำ เป็นสินทรัพย์ที่ไม่มีการจ่ายดอกเบี้ย แต่จะให้ผลตอบแทนจากการเปลี่ยนแปลงของราคาในตลาด เมื่อเศรษฐกิจมีความไม่แน่นอน ราคาทองคำมักจะปรับตัวขึ้น เนื่องจากนักลงทุนมองว่าทองคำเป็นที่ปลอดภัย


พันธบัตร หรือหุ้นกู้ เป็นการลงทุนในหนี้สินของรัฐบาลหรือบริษัทเอกชน โดยนักลงทุนจะได้รับดอกเบี้ยตามที่กำหนด ทำให้พันธบัตรเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำและมีการจ่ายผลตอบแทนที่คงที่ หากเศรษฐกิจตกต่ำ ดอกเบี้ยพันธบัตรอาจจะต่ำลงด้วย แต่ก็ยังเป็นทางเลือกที่มีรายได้สม่ำเสมอ อย่างไรก็ตาม พันธบัตรจะเสี่ยงต่ำก็ต่อเมื่อบริษัทที่ออกพันธบัตรหรือหุ้นกู้นั้นเป็นบริษัทที่น่าเชื่อถือ เพราะบริษัทที่มีสถานะทางการเงินที่มั่นคงจะมีโอกาสชำระหนี้คืนได้สูงกว่าบริษัทที่มีความเสี่ยงทางการเงิน


สรุป: หากมองหาความมั่นคงในระยะยาวและผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ พันธบัตรอาจเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า แต่หากมองหาการป้องกันความเสี่ยงในช่วงเศรษฐกิจไม่แน่นอน ทองคำจะเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมากกว่า


2. ทองคำ vs หุ้น

ทองคำมีความมั่นคงมากกว่า แต่ผลตอบแทนจากการลงทุนในทองคำอาจจะไม่สูงเท่าหุ้น เพราะทองคำไม่ได้สร้างรายได้สม่ำเสมอ เนื่องจากไม่มีการจ่ายดอกเบี้ยหรือเงินปันผล ราคาทองคำจะให้ผลตอบแทนจากการเปลี่ยนแปลงของราคาตลาดเท่านั้น


หุ้นถือว่าเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงกว่า เนื่องจากราคาหุ้นขึ้นลงตามการทำธุรกิจและปัจจัยเศรษฐกิจอื่นๆ อย่างไรก็ตาม นักลงทุนที่ลงทุนในหุ้นอาจได้รับผลตอบแทนสองทาง ทั้งจากการเพิ่มขึ้นของราคาหุ้นและจากเงินปันผลที่บริษัทจ่ายให้เมื่อมีกำไร โดยเฉพาะหุ้นของบริษัทที่มีความมั่นคงและนโยบายจ่ายปันผลสม่ำเสมอ จะสร้างรายได้ต่อเนื่องให้นักลงทุนได้


สรุป: หากนักลงทุนสามารถรับความเสี่ยงได้และต้องการผลตอบแทนสูงจากการเติบโตของบริษัท พร้อมกับรายได้สม่ำเสมอจากเงินปันผล หุ้นอาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมกว่า แต่หากต้องการความมั่นคงและป้องกันความเสี่ยงในช่วงที่ตลาดมีความผันผวน ทองคำจะเป็นตัวเลือกที่เหมาะกว่า เนื่องจากราคาทองคำมักจะเพิ่มขึ้นในช่วงที่เศรษฐกิจไม่แน่นอน


3. ทองคำ vs ดอลลาร์สหรัฐฯ

ทองคำ ทองคำถือเป็นสินทรัพย์ที่นักลงทุนมักหันมาถือครองในช่วงที่เศรษฐกิจไม่แน่นอนหรือเมื่อตลาดการเงินมีความผันผวน ทองคำมีคุณสมบัติเป็นการป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ เนื่องจากมูลค่าของทองคำมักจะปรับขึ้นเมื่ออำนาจซื้อของเงินตราลดลง และราคาทองคำมักจะเคลื่อนไหวในทิศทางตรงกันข้ามกับดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อค่าเงินดอลลาร์อ่อนตัว ราคาทองคำมักจะปรับขึ้น เนื่องจากนักลงทุนจะหันมาถือครองสินทรัพย์ที่ปลอดภัยกว่า


ดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นสกุลเงินหลักที่ใช้ในการซื้อขายทั่วโลก ทำให้มีสภาพคล่องสูงและถือเป็นสกุลเงินที่มั่นคงในระดับหนึ่ง นักลงทุนที่ถือเงินดอลลาร์สหรัฐฯ สามารถมีความยืดหยุ่นในการลงทุนและเข้าถึงโอกาสทางการเงินทั่วโลก อีกทั้งดอลลาร์ยังสามารถสร้างรายได้จากการลงทุนในสินทรัพย์ที่เป็นดอลลาร์ เช่น พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งมีความปลอดภัยสูง นอกจากนี้ การถือเงินดอลลาร์สหรัฐฯ มักจะสร้างผลตอบแทนจากอัตราดอกเบี้ยของสินทรัพย์ที่เป็นสกุลดอลลาร์ได้


สรุป: ทองคำและดอลลาร์สหรัฐฯ มีความแตกต่างกันในด้านการรักษามูลค่าและการสร้างผลตอบแทน ทองคำเป็นสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงเมื่อเกิดเงินเฟ้อและมีแนวโน้มจะปรับขึ้นเมื่อค่าเงินดอลลาร์อ่อนตัว ขณะที่เงินดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นสกุลเงินที่มั่นคง มีสภาพคล่องสูง และสามารถสร้างผลตอบแทนจากดอกเบี้ยได้ หากนักลงทุนมองหาความมั่นคงในช่วงที่ตลาดมีความผันผวน ทองคำอาจเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า แต่หากต้องการสภาพคล่องสูงและสามารถสร้างรายได้จากดอกเบี้ย เงินดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นตัวเลือกที่เหมาะสม


กราฟ : แสดงความเคลื่อนไหวในทิศทางตรงกันข้ามกัน ระหว่างราคาทองคำและดัชนีดอลลาร์สหรัฐฯ (DXY)



ที่มา : Bloomberg ณ วันที่ 7 ต.ค. 2024


4. ทองคำ vs การลงทุนในที่ดิน

ทองคำ มีสภาพคล่องสูงกว่าที่ดิน ทำให้นักลงทุนสามารถขายออกได้ง่ายและทันที


การลงทุนในที่ดิน มีการเติบโตของราคาที่มั่นคงในระยะยาว แม้จะมีความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาอสังหาริมทรัพย์ในระยะสั้น ที่ดินยังสามารถนำไปใช้สร้างรายได้จากการให้เช่าหรือพัฒนาอสังหาริมทรัพย์


สรุป: ทองคำเป็นตัวเลือกที่ดีหากต้องการสภาพคล่องสูงและป้องกันความเสี่ยงในระยะสั้น แต่หากมองหาการเติบโตในระยะยาวและมีแผนพัฒนาที่ดิน การลงทุนในที่ดินอาจให้ผลตอบแทนสูงกว่าในระยะยาว


5. ทองคำโลก vs ทองคำไทย

โดยทั่วไป ราคาทองคำไทยจะมีการเคลื่อนไหวคล้ายคลึงกับราคาทองคำโลก แต่จะมีปัจจัยเพิ่มเติมจากค่าเงินบาท ซึ่งทำให้ราคาทองคำในไทยอาจจะสูงหรือต่ำกว่าราคาทองคำโลกตามการเปลี่ยนแปลงของค่าเงิน กล่าวคือเมื่อค่าเงินบาทอ่อนตัวลง ราคาทองคำในไทยจะมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นแม้ว่าราคาทองคำโลกจะคงที่หรือลดลง ในทางกลับกัน หากค่าเงินบาทแข็งค่า ราคาทองคำในไทยอาจจะต่ำกว่าราคาทองคำโลก หรือปรับตัวขึ้นน้อยกว่าที่ควรเป็น


ในระยะยาว การเปลี่ยนแปลงของค่าเงินบาทมักจะไม่ส่งผลกระทบต่อราคาทองคำไทยมากนัก เพราะราคาทองคำไทยยังคงอิงกับราคาทองคำโลก ซึ่งได้รับผลกระทบจากปัจจัยเศรษฐกิจและอุปสงค์อุปทานในตลาดโลกเป็นหลัก นอกจากนี้ การเคลื่อนไหวของค่าเงินในระยะยาวมักจะถูกปรับให้สมดุลโดยปัจจัยทางเศรษฐกิจทั้งในและนอกประเทศ ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงของค่าเงินบาทในระยะยาวจึงไม่ส่งผลกระทบอย่างมากต่อต้นทุนการถือครองทองคำ


สรุป: ทองคำไทยมีความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของค่าเงินบาทในระยะสั้น ในขณะที่ทองคำโลกได้รับผลกระทบโดยตรงจากเศรษฐกิจโลก แต่ในระยะยาวค่าเงินบาทมักจะปรับเข้าสมดุลและไม่ส่งผลกระทบมากต่อต้นทุนการถือครองทองคำ นักลงทุนที่สนใจทองคำไทยจึงควรติดตามการเปลี่ยนแปลงค่าเงินบาทอย่างใกล้ชิดในระยะสั้น และเน้นติดตามปัจจัยเศรษฐกิจโลกเพื่อเข้าใจแนวโน้มในระยะยาว


บทสรุปภาพรวม: การเลือกลงทุนระหว่างทองคำกับสินทรัพย์ประเภทต่างๆ ขึ้นอยู่กับเป้าหมายและระดับความเสี่ยงที่นักลงทุนยอมรับได้ นักลงทุนที่มองหาความมั่นคงและป้องกันความเสี่ยงอาจพิจารณาลงทุนในทองคำ ในขณะที่ผู้ที่ต้องการผลตอบแทนสูงและพร้อมรับความเสี่ยงอาจเลือกลงทุนในหุ้น หรือที่ดิน เป็นต้น



คำแนะนำในการลงทุนในทองคำ/กองทุนทองคำ

สำหรับผู้ที่ถือลงทุนอยู่แล้ว : หากคุณถือครองทองคำอยู่แล้วและมองเห็นราคาทองคำที่พุ่งสูงขึ้น อาจพิจารณาคงการถือครองไว้ในระยะยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่เศรษฐกิจยังไม่แน่นอน การถือทองคำอาจเป็นการป้องกันความเสี่ยงที่ดี อย่างไรก็ตาม หากคุณมีแผนการใช้เงินในระยะสั้นหรือมีความกังวลเกี่ยวกับการผันผวนของตลาด ก็สามารถทยอยขายทำกำไรออกมาบางส่วนเพื่อล็อกผลตอบแทนที่ได้รับไว้


สำหรับผู้ที่ยังไม่มีการลงทุนในทองคำ : สำหรับผู้ที่ยังไม่มีทองคำ แต่สนใจเข้ามาลงทุน การพิจารณาเข้าสู่ตลาดทองคำในช่วงที่ราคาทำจุดสูงสุดใหม่ อาจต้องระวังเป็นพิเศษ เนื่องจากมีความเสี่ยงที่จะเจอกับการปรับฐานของราคาในระยะสั้น หากคุณมองการลงทุนในทองคำเพื่อป้องกันความเสี่ยงระยะยาว การทยอยเข้าลงทุนเพื่อเฉลี่ยต้นทุนอาจเป็นวิธีที่ปลอดภัยกว่า แต่อย่างไรก็ดี ควรพิจารณาดูปัจจัยอื่นๆ ที่อาจส่งผลต่อราคาในอนาคตด้วย


สำหรับผู้ที่ต้องการเก็งกำไรระยะสั้น : หากคุณต้องการเก็งกำไรจากความผันผวนของราคาทองคำในระยะสั้น ควรติดตามข่าวสารและปัจจัยที่มีผลต่อราคาทองคำอย่างใกล้ชิด เช่น สถานการณ์เศรษฐกิจ นโยบายการเงิน อัตราแลกเปลี่ยน และปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์ต่างๆ การลงทุนผ่านสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Futures) หรือกองทุน ETF ที่เกี่ยวข้องกับทองคำ อาจเป็นตัวเลือกที่ช่วยให้คุณสามารถซื้อขายได้รวดเร็วและสามารถทำกำไรได้ในระยะสั้นตามแนวโน้มของตลาด อย่างไรก็ตาม การเก็งกำไรมีความเสี่ยงสูง ควรพิจารณาความเสี่ยงและเตรียมแผนรับมือก่อนลงทุน


คำแนะนำสัดส่วนการลงทุนเพื่อกระจายความเสี่ยง: การกระจายความเสี่ยงในการลงทุนในทองคำ แนะนำให้จัดสรรสัดส่วนการลงทุนในทองคำประมาณ 10-15% ของพอร์ตการลงทุนทั้งหมด สัดส่วนนี้ช่วยให้คุณได้รับประโยชน์จากการเพิ่มขึ้นของราคาทองคำและป้องกันความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวน ในขณะเดียวกันยังมีพื้นที่ในพอร์ตสำหรับการลงทุนในสินทรัพย์อื่น ๆ ที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้ในระยะยาว การจัดสรรสัดส่วนแบบนี้จะช่วยให้พอร์ตของคุณมีความสมดุลมากยิ่งขึ้น


หวังว่าการเปรียบเทียบนี้ จะสามารถช่วยให้นักลงทุนตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่าควรถือครองสินทรัพย์แบบใดในสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน



คำเตือน


ผู้เขียน

K WEALTH วรสุดา ใช้เทียมวงศ์ CFP®
Back to top