เมื่อ 8 ต.ค. 67 ช่วงปิดตลาด ดัชนี CSI 300 ซึ่งสะท้อนความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นจีนแผ่นดินใหญ่ปรับตัวขึ้น +5.93%เทียบกับวันทำการก่อนหน้า ในขณะที่ดัชนี Hang Seng ซึ่งสะท้อนความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นฮ่องกง กลับปรับตัวลงถึง -9.41%เทียบกับวันทำการก่อนหน้า ซึ่งเป็นการปิดตลาดด้วยทิศทางที่ต่างกันในวันเดียวกัน
ตกลงหุ้นจีนพุ่งหรือร่วง กันแน่?
ถึงแม้ทั้ง 2 ตลาดจะปิดตัวด้วยตัวเลขการเปลี่ยนแปลงเทียบกับวันทำการก่อนหน้าที่ต่างกัน แต่หากพิจารณาความเคลื่อนไหวดัชนีทั้ง 2 ตลาดในระหว่างวันพบว่าดัชนีทั้ง 2 ตลาดมีทิศทางปรับตัวลงเหมือนกัน
โดยในช่วงเปิดตลาดของดัชนี CSI 300 ที่เวลาประมาณ 8.15 น. (ตามเวลาประเทศไทย) ซึ่งได้หยุดทำการตั้งแต่หลังวันที่ 30 ก.ย. มีการเปิดตัวที่ระดับสูงกว่าราคาปิดของวันทำการก่อนหน้าถึง 10.76% แต่หลังจากนั้นก็มีการปรับลงอย่างรวดเร็ว จนถึงเวลาประมาณ 9.30 น. (ตามเวลาประเทศไทย) ดัชนีปรับตัวลงถึง -8%เทียบกับตอนเปิดตลาด แต่ก็ยังคงเป็นระดับที่สูงกว่าวันทำการก่อนหน้าที่ +1.90% โดยหลังจากนั้นระหว่างวันดัชนีก็ปรับตัวขึ้นลง จนมาปิดตลาดตอนเวลาประมาณ 14.00 น. (ตามเวลาประเทศไทย) ในระดับที่สูงกว่าวันทำการก่อนหน้า +5.93% แต่ก็ยังคงเป็นระดับที่ต่ำกว่าระดับราคาตอนเปิดตลาดถึง -4.37%
ในขณะที่ดัชนี Hang Seng ที่มีการซื้อขายเกือบทุกวันในช่วงที่ดัชนี CSI 300 หยุดทำการไป และเปิดตลาดหลัง CSI 300 ในช่วงเวลาประมาณ 8.30 น. (ตามเวลาประเทศไทย) ได้มีการปรับตัวลงทันทีจนมาอยู่ในระดับต่ำที่สุดตอนเวลาประมาณ 9.30 น. (ตามเวลาประเทศไทย) เช่นเดียวกับ CSI 300 อีกทั้งดัชนี Hang Seng มีการปิดตลาดหลัง CSI 300 ที่เวลาประมาณ 15.00 น. ซึ่งในช่วง 14.00-15.00 น. ดัชนี Hang Seng ก็ยังคงปรับตัวลงต่อเนื่อง จนทำให้ดัชนี Hang Seng ติดลบถึง 9.41%เทียบกับวันทำการก่อนหน้า
ทำไม? หุ้นจีนและฮ่องกง ถึงร่วง
สามารถเหตุหลักมาจาก นักลงทุนส่วนใหญ่ผิดหวังที่ทางการจีนไม่ได้มีการประกาศแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งที่ก่อนหน้านั้นนักลงทุนมีความหวังจากการที่ประธานคณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติจีน (NDRC) ได้มีการให้คำมั่นว่าจะดำเนินการในหลายด้านเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจภายในประเทศ จนเป็นเหตุให้ดัชนี CSI 300 มีพุ่งตัวแรงในช่วงเปิดตลาด
ซึ่งความผิดหวังดังกล่าวที่สะท้อนความกังวลต่อเศรษฐกิจจีนไม่ได้ส่งกระทบต่อตลาดหุ้นจีนและฮ่องกงเท่านั้น แต่ยังส่งผลถึงความกังวลว่าความต้องการใช้น้ำมันดิบจากจีนอาจลดลง จนส่งผลต่อราคาน้ำมันดิบ ประกอบกับมีข่าวว่ากลุ่มฮิซบอลเลาะห์และอิสราเอลอาจจะทำข้อตกลงหยุดยิง และมีแรงเทขายทำกำไรจากนักลงทุนทำให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลงกว่า 4%เทียบกับวันทำการก่อนหน้า หลังจากที่ราคาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 1 เดือนที่ผ่านมา
ผลกระทบต่อราคากองทุนหุ้นจีน
เนื่องจากกองทุนหุ้นจีนแต่ละกองทุน มีนโยบายหรือสัดส่วนการลงทุนในตลาดตลาดหุ้นจีนและฮ่องกงที่ต่างกัน ทำให้ความเคลื่อนไหวของราคากองทุนหรือกองทุนหลัก ณ สิ้นวันที่ 8 ต.ค. 67 มีความแตกต่างกัน เช่น
• กองทุน K-CHX มีการปรับตัวขึ้น 3.29% เทียบกับวันที่ 30 ก.ย. 67
• กองทุน K-CCTV-A(A) คาดว่าจะมีการปรับตัวขึ้น เนื่องจากกองทุน UBS (Lux) Investment SICAV – China A Opportunity (USD) และกองทุน CSOP FTSE China A50 ETF (RMB) ที่กองทุน K-CCTV-A(A) ลงทุนในสัดส่วน 48.13% และ 25.18% ตามลำดับ (ณ 30 ส.ค. 67) มีการปรับตัวขึ้น +1.72% และ +4.06%เทียบกับวันที่ 30 ก.ย. 67ตามลำดับ โดยคาดว่าราคากองทุน K-CCTV-A(A) ณ 8 ต.ค. 67 จะมีการประกาศคืนวันที่ 9 ต.ค. 67 นี้
• กองทุน K-CHINA คาดว่าจะมีการปรับตัวลง เนื่องจากกองทุน JPMorgan Funds – China Fund, Class JPM China I (acc) ซึ่งเป็นกองทุนหลักมีการปรับตัวลง -8.62%เทียบกับวันทำการก่อนหน้า
• สำหรับกองทุนหุ้นเอเชีย เช่น K-ASIA K-ASIAX K-ASIACV-A(A) ซึ่งมีสัดส่วนการลงทุนในจีนหรือฮ่องกง ราคาก็อาจมีความผันผวนตามดัชนีของตลาดหุ้นจีนและฮ่องกงเช่นเดียวกัน
คำแนะนำการลงทุน
หากพิจารณาราคา NAV ของกองทุนหุ้นจีน (เช่น K-CHINA K-CHX K-CCTV) พบว่านับตั้งแต่ช่วงปลายเดือน ก.ย. 67 กองทุนหุ้นจีนมีการปรับขึ้นแรง หลังจากที่ Fed ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยและแบงก์ชาติจีนมีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ตามที่ K WEALTH ได้ออกบทความประเด็นร้อนบน website K WEALTH และส่งถึงผู้ลงทุนกองทุนหุ้นจีนของธนาคารผ่านทาง LINE “KBank Live” ไปเมื่อวันที่ 23 ก.ย. และ 25 ก.ย. 67 แล้ว ซึ่งระดับราคากองทุน ณ ปัจจุบัน ส่งผลให้ผู้ที่เริ่มต้นลงทุนกองทุนหุ้นจีนหลัง เม.ย. 66 ณ เงินทุนส่วนนี้น่าจะมีกำไรแล้ว สามารถพิจารณาขายคืนได้ ส่วนผู้ที่ลงทุนในช่วงก่อนหน้านั้น แม้จะยังขาดทุน แต่ผลขาดทุนดังกล่าวก็อาจน้อยลงแล้ว หากปัจจุบันถือกองทุนหุ้นจีนในสัดส่วนที่สูงอยู่ เช่น เกิน 30%ของเงินลงทุนทั้งหมด แนะนำให้ลองพิจารณาทยอยขายเพื่อลดสัดส่วนการลงทุนลงได้
ทั้งนี้โดยสรุป K WEALTH มีมุมมองการลงทุนเป็นกลาง ต่อกองทุนหุ้นจีน (เช่น K-CHINA K-CHX K-CCTV)
• สำหรับผู้ที่ถือกองทุนหุ้นจีน น้อยกว่า 30% ของเงินลงทุนทั้งหมด
o หากมีกำไร สามารถพิจารณาขายส่วนที่กำไรได้
o แต่หากยังขาดทุน ก็ยังคงสามารถถือต่อได้อยู่ เพื่อรอให้ราคาปรับตัวขึ้นอีกครั้ง
• สำหรับผู้ที่ถือกองทุนหุ้นจีนเกิน 30%ของเงินลงทุนทั้งหมด แนะนำพิจารณาหาโอกาสขายเพื่อลดสัดส่วนให้เหลือน้อยกว่า 30%ของเงินลงทุนรวม
สำหรับกองทุนน้ำมัน เช่น K-OIL K WEALTH มีมุมมองการลงทุนเป็นกลาง เช่นเดียวกันกองทุนหุ้นจีน แต่ K WEALTH แนะนำว่าไม่ควรมีกองทุนน้ำมันในสัดส่วนเกิน 15%ของเงินลงทุนทั้งหมด ส่วนกองทุนหุ้นเอเชีย เช่น K-ASIA K-ASIAX K-ASIACV-A(A) K WEALTH มีมุมมองเป็นบวก ดังนั้นหากยังถือกองทุนกลุ่มนี้ไม่เกิน 30%ของเงินลงทุนทั้งหมด ก็สามารถทยอยลงทุนเพิ่มได้
สำหรับเงินที่ได้จากการขายคืน รวมไปถึงกรณีมีเงินใหม่ที่ต้องการลงทุนเพิ่ม แนะนำให้นำเงินดังกล่าวไปลงทุนในกองทุนของแนะนำของ K WEALTH เช่น K-GHEALTH, K-VIETNAM เป็นต้น
สำหรับผู้ที่กังวลกับความเสี่ยงจากความผันผวนในตลาดหุ้นบางประเทศ หรือบางสินทรัพย์ แนะนำลงทุนในกองทุนผสมที่มีการกระจายเงินลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลายและมีผู้จัดการกองทุนในการพิจารณาปรับพอร์ตการลงทุนอย่างเหมาะสม เช่น K-WPULTIMATE K-WPBALANCED
กองทุน
| ความเสี่ยงกองทุน
(สูงสุด 8 ระดับ)
|
นโยบายป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน
| ขายคืนได้ทุกวันทำการ โดยวันที่ได้รับเงินค่าคืน อยู่ที่*
|
K-GHEALTH(UH)
| ระดับ 7
| ไม่ป้องกันความเสี่ยง
| T+4
|
K-GHEALTH
| ระดับ 6
| ไม่น้อยกว่า 75% ของมูลค่าเงินลงทุนต่างประเทศ
| T+4
|
K-VIETNAM
| ระดับ 6
| ตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน
| T+5
|
K-WPULTIMATE
| ระดับ 6
| ตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน
| T+6
|
K-WPBALANCED
| ระดับ 5
| ตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน
| T+6
|
*ตัวอย่าง T+6 หมายถึง จะได้รับเงินค่าขายคืน 6 วันทำการถัดจากวันที่ทำรายการ (T+6) เช่น ขายคืนวันจันทร์ จะได้รับเงินค่าขายคืนวันอังคารของสัปดาห์ถัดไป (กรณีไม่มีวันหยุดอื่น นอกจากเสาร์-อาทิตย์)
Disclaimer: “ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน”