เงินเยนอ่อนค่า ญี่ปุ่นลั่นวาจาอิรัชชัยมาเสะ

ไปท่องเที่ยวญี่ปุ่นในช่วงที่เต็มไปด้วยความงดงามของฤดูใบไม้เปลี่ยนสี เทศกาลที่น่าตื่นตาตื่นใจ และแหล่งช้อปปิ้งมากมาย อีกทั้งตอนนี้ค่าเงินเยนอ่อนค่าทำให้การท่องเที่ยวยิ่งประหยัดยิ่งขึ้น แล้วจะเดินทางอย่างไรให้เพลิดเพลินและอุ่นใจ บทความนี้มีคำตอบ

• การลดลงของค่าเงินเยนเนื่องจากความแตกต่างของอัตราดอกเบี้ยระหว่างสหรัฐและญี่ปุ่น ซึ่งทำให้เงินทุนย้ายออกจากประเทศญี่ปุ่น ค่าเงินเยนที่อ่อนค่าในขณะนี้ทำให้ญี่ปุ่นกลายเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวทั่วโลก ส่งผลให้จำนวนผู้มาเยือนญี่ปุ่นในช่วงหกเดือนแรกของปีนี้แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์


• ในประเทศญี่ปุ่น ช่วงฤดูใบไม้ร่วงระหว่างเดือนกันยายนถึงพฤศจิกายนเป็นช่วงเวลาที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจำนวนมาก เนื่องจากความสวยงามของใบไม้เปลี่ยนสี เทศกาลต่างๆ และแหล่งช้อปปิ้งที่หลากหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปัจจุบันนี้ค่าเงินเยนอ่อนค่า ทำให้การท่องเที่ยวมีค่าใช้จ่ายน้อยลง


• เที่ยวต่างประเทศให้สนุกสุดเหวี่ยงโดยไม่ต้องกังวลเรื่องการเงิน ด้วย YouTrip จากธนาคารกสิกรไทย ที่ช่วยให้การใช้จ่ายเป็นสกุลเงินต่างประเทศสะดวกและไร้ค่าธรรมเนียม และประกันการเดินทาง Travel Plus ที่ให้ความอุ่นใจตลอดการเดินทาง




ค่าเงินเยนที่อ่อนตัว โอกาสดีสำหรับนักท่องเที่ยว

ในปีนี้ญี่ปุ่นได้กลายเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเพราะค่าเงินเยนที่อ่อนค่าลงอย่างมาก ตั้งแต่ต้นปีอัตราแลกเปลี่ยนเงินเยนอ่อนค่าจนถึงระดับ 161 เยนต่อดอลลาร์หรืออ่อนค่าไปถึง 14.77% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 34 ปี สาเหตุหลักมาจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ที่ 5.5% ในขณะที่ธนาคารแห่งประเทศญี่ปุ่น (BOJ) ยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 0.25% ความแตกต่างของอัตราดอกเบี้ยระหว่างสหรัฐและญี่ปุ่น ส่งผลให้เงินทุนไหลออกจากญี่ปุ่นเพื่อหาผลตอบแทนจากสินทรัพย์ที่สูงกว่า ในเดือนกรกฎาคม ค่าเงินเยนอ่อนค่าถึง 161.807 เยนต่อดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม จากการที่ Fed ลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบ 4 ปี เมื่อกลางเดือนกันยายนที่ผ่านมา ทำให้ค่าเงินเยนเริ่มฟื้นตัว ปัจจุบันค่าเงินเยนอยู่ที่ 148.656 เยนต่อดอลลาร์ (ณ วันที่ 7 ตุลาคม 2024)


ด้านเงินเฟ้อในญี่ปุ่น เมื่อมาดูดัชนีราคาผู้บริโภค(CPI) เดือน สิงหาคม อยู่ที่ 3% สูงสุดในรอบ 9 เดือน และหากลงลึกในรายละเอียดของเงินเฟ้อพบว่าสาเหตุหลักของเงินเฟ้อหลักมาจากค่าไฟฟ้าและก๊าซที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้ต้นทุนการผลิตและบริการโดยรวมปรับตัวขึ้นตามไปด้วย


เมื่อเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายพื้นฐานในการท่องเที่ยว โดยพิจารณาปัจจัยเรื่องค่าเงินเยนที่อ่อนค่าและอัตราเงินเฟ้อในญี่ปุ่น โดยการเปรียบเทียบระหว่างช่วงก่อนการระบาดของโควิด-19 กับช่วงปัจจุบัน และแปลงเป็นสกุลเงินบาท พบว่า



อัตราแลกเปลี่ยนในวันที่ 6 ต.ค. 2018
ณ อัตราแลกเปลี่ยน 0.28 JPY/THB
อัตราแลกเปลี่ยนในปีปัจจุบัน
ณ อัตราแลกเปลี่ยน 0.23 JPY/THB
ราคาเริ่มต้นสำหรับโรงแรม 5 ดาว
ราคาเฉลี่ยในปี 2018
32,936 เยน = 9,222 บาท
ราคาเฉลี่ยในปัจจุบัน
33,113 เยน = 7,616 บาท
ตั๋วรถไฟ JR Pass 7 days (Adult)
ราคาในปี 2019
33,000 เยน = 9,240 บาท
ราคาเฉลี่ยในปัจจุบัน
50,000 เยน = 11,500 บาท
ค่าเช้าชมปราสาทมัตสึโมโต้ (Adult)
ราคาในปี 2018
610 เยน = 171 บาท
ราคาเฉลี่ยในปัจจุบัน
700 เยน = 161 บาท

ในช่วงครึ่งแรกของปี 2024 รัฐบาลญี่ปุ่นเปิดเผยว่ามีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศถึง 17.78 ล้านคน ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยได้รับอานิสงส์จากค่าเงินเยนที่อ่อนค่าลง คาดการณ์ว่าตลอดทั้งปีจำนวนนี้อาจเพิ่มขึ้นเป็น 35 ล้านคน ซึ่งจะทำลายสถิติเดิมที่เคยมีในปี 2019 ที่ 31.88 ล้านคน นอกจากนี้ นักท่องเที่ยวในช่วงเดือนเมษายนถึงมิถุนายนใช้จ่ายสูงถึง 2.1 ล้านล้านเยน (ประมาณ 1.33 หมื่นล้านดอลลาร์) โดยรัฐบาลญี่ปุ่นตั้งเป้าดึงดูดนักท่องเที่ยวให้ได้ 60 ล้านคนต่อปีภายในปี 2030 และรัฐบาลญี่ปุ่นกำลังพิจารณาว่าจะใช้มาตรการสนับสนุนทางการเงินเพื่อเพิ่มเที่ยวบินไปยังสนามบินในภูมิภาคต่างๆ เพื่อส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวไปเยือนพื้นที่ชนบทมากขึ้น



ช่วงนี้ญี่ปุ่นมีอะไรน่าสนใจบ้าง

ช่วงฤดูใบไม้ร่วงในญี่ปุ่น ระหว่างเดือนกันยายนถึงพฤศจิกายน เป็นระยะเวลาที่นักท่องเที่ยวต่างเฝ้ารอคอย เพราะมีการเปลี่ยนสีของใบไม้ งานเทศกาลที่หลากหลาย และสถานที่ช้อปปิ้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ค่าเงินเยนอ่อนตัวลง สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในช่วงนี้อาทิเช่น


ท่องเที่ยวสายธรรมชาติและวัฒนธรรม


ถ้าชอบการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติและสัมผัสกับเทศกาลที่เต็มไปด้วยวัฒนธรรม ญี่ปุ่นในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีคือช่วงเวลาที่เหมาะที่สุด สถานที่แต่ละแห่งมีความสวยงามเฉพาะตัว ไม่ว่าจะเป็นเมืองเก่าแก่หรือภูเขาอันงดงาม และยังมีเทศกาลที่น่าตื่นเต้นให้เข้าร่วมอีกด้วย นี่คือสถานที่แนะนำสำหรับการท่องเที่ยวธรรมชาติในฤดูใบไม้ร่วงและเทศกาลสำคัญ

• เกียวโต: เป็นเมืองที่มีชื่อเสียงในด้านวัดและสวนที่สวยงาม โดยเฉพาะวัดกินคะคุจิและวัดเอคันโดะ ที่มีต้นเมเปิ้ลมากกว่า 3,000 ต้น ทำให้ภาพในฤดูใบไม้ร่วงจะออกมาสวย นอกจากนี้ยังมีการประดับไฟในช่วงค่ำที่เพิ่มบรรยากาศอีกด้วย

• นิกโก้: ลักษณะของธรรมชาติที่ดูแล้วสบายตา รวมถึงวัดและศาลเจ้าที่เป็นมรดกโลก เช่น ศาลเจ้าโทโชกุ ซึ่งจะมีความสวยงามของใบไม้เปลี่ยนสีที่ตัดกับสถาปัตยกรรมโบราณ ทำให้เป็นจุดหมายที่ไม่ควรพลาด

• ฮาโกเน่: ยังเป็นสถานที่ที่นักท่องเที่ยวสามารถชมวิวภูเขาฟูจิได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะจากทะเลสาบอาชิ ที่มีทิวทัศน์ของใบไม้เปลี่ยนสีสะท้อนอยู่ในน้ำ สร้างภาพที่สวยงามและน่าประทับใจ ทั้งสามเมืองนี้จึงเป็นจุดหมายปลายทางที่เหมาะสำหรับการสัมผัสความงดงามของฤดูใบไม้เปลี่ยนสีในญี่ปุ่น


สำหรับเทศกาลที่น่าสนใจในช่วงนี้คือ เทศกาล นางาซากิคุนจิ เป็นงานเฉลิมฉลองใหญ่ในฤดูใบไม้ร่วงที่จัดขึ้นทุกปีในช่วงวันที่ 7-9 ตุลาคม ณ ศาลเจ้าซุวะ จังหวัดนางาซากิ จุดเด่นของงานคือขบวน ดาชิโมโนะ ที่มีเครื่องประดับขนาดใหญ่คล้ายร่มเรียกว่า "คาซาโบโกะ" และการแสดงร่ายรำแบบญี่ปุ่น รวมถึงการแสดงเชิดมังกรและเชิดสิงโตที่สร้างความตื่นเต้นให้กับผู้ชม นอกจากนี้ ขบวนดาชิโมโนะจะสับเปลี่ยนหมุนเวียนไปตามเมืองต่างๆ ทุก 7 ปี ทำให้ผู้เข้าชมได้สัมผัสประสบการณ์ใหม่ในแต่ละปี ทำให้นางาซากิคุนจิเป็นหนึ่งในเทศกาลที่สำคัญและน่าจดจำที่สุดในญี่ปุ่น


ท่องเที่ยวสายช้อปปิ้งในย่านเมืองใหญ่


หากเป็นคนที่ชอบการช้อปปิ้งและอยากสัมผัสวัฒนธรรมเมืองญี่ปุ่นไปพร้อมๆ กัน โตเกียวมีหลายย่านที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นแหล่งช้อปปิ้งสุดฮิต หรือสถานที่ที่เต็มไปด้วยเสน่ห์แบบดั้งเดิม ที่สำคัญคือแต่ละย่านมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ทำให้คุณสามารถเพลิดเพลินกับประสบการณ์ที่หลากหลาย นี่คือ 3 ย่านช้อปปิ้งยอดนิยมที่คุณไม่ควรพลาด:

• ชิบูย่า: ย่านช้อปปิ้งที่โด่งดังที่สุดในโตเกียว ชิบูย่าไม่เพียงแค่เป็นแหล่งรวมร้านค้าและแบรนด์แฟชั่นที่หลากหลาย แต่ยังมีจุดไฮไลต์อย่าง ชิบูย่าครอสซิง ที่เป็นทางม้าลายที่คึกคักที่สุดในโลก นักท่องเที่ยวสามารถแวะชมและช้อปที่ Shibuya 109 ซึ่งเป็นห้างที่รวมแฟชั่นสุดฮิตของวัยรุ่น นอกจากนี้ ยังมีร้านอาหารและคาเฟ่ให้นั่งชิล ทำให้ที่นี่เป็นย่านที่เหมาะแก่การใช้เวลาทั้งวันในการเดินเล่นและช้อปปิ้ง

• ฮาราจูกุ: หากชอบหลงใหลในวัฒนธรรมและแฟชั่นสไตล์ “คาวาอี้” ต้องไม่พลาดฮาราจูกุ โดยเฉพาะที่ถนน ทาเคชิตะโดริ ซึ่งเป็นแหล่งรวมร้านค้าที่ขายสินค้าแฟชั่นสุดแหวกแนวและทันสมัย พร้อมบูติกหรือร้านค้าขนาดเล็กถึงกลางที่จำหน่ายเสื้อผ้า เครื่องประดับ และสินค้าแฟชั่นที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว นอกจากนี้ยังมีสวนสาธารณะโยโยกิและศาลเจ้าเมจิที่อยู่ใกล้เคียง เหมาะสำหรับการพักผ่อนหลังจากช้อปปิ้ง

• โกเทมบะ: สำหรับนักช้อปที่ต้องการสินค้าคุณภาพดีในราคาที่คุ้มค่า แนะนำให้ไปที่ โกเทมบะ พรีเมียม เอาท์เล็ท ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ภูเขาฟูจิ นอกจากจะได้ช้อปแบรนด์เนมในราคาพิเศษแล้ว ยังสามารถชมวิวภูเขาฟูจิที่สวยงามไปพร้อมๆ กัน ทำให้การช้อปปิ้งที่นี่เป็นทั้งการจับจ่ายและการสัมผัสธรรมชาติไปในตัว



เที่ยวสนุกไม่สะดุดเรื่องเงินด้วย

ในยุคที่การเดินทางไปต่างประเทศกลายเป็นเรื่องง่ายและเข้าถึงได้มากขึ้น การเตรียมตัวให้พร้อมทั้งในด้านการเงินและความปลอดภัยจึงมีความสำคัญยิ่งขึ้น การใช้บริการที่เหมาะสม เช่น YouTrip และประกันการเดินทาง จะช่วยให้คุณสามารถสนุกกับการท่องเที่ยวได้อย่างไร้กังวล


YouTrip จากธนาคารกสิกรไทยคือ กระเป๋าเงินดิจิทัล หรือ Multi-Currency Wallet ที่ออกแบบมาเพื่อการใช้จ่ายในต่างประเทศ โดยสามารถรองรับการทำธุรกรรมในกว่า 150 สกุลเงินทั่วโลก สมัครง่ายๆ ผ่านแอป YouTrip ที่เหลือก็แค่รอรับบัตรที่บ้านได้เลย โดยมีจุดเด่นดังนี้


• ตัวเลือกสกุลเงินที่หลากหลาย: สามารถวางแผนแลกเงินล่วงหน้าได้ถึง 10 สกุลเงิน ซึ่งจะอัปเดตค่าเงินแบบ Real-time ถูกใจเมื่อไหร่ล็อกเรทได้เลย

• ไม่มีค่าธรรมเนียมแอบแฝง: ใช้จ่ายในสกุลเงินต่างประเทศได้โดยไม่มีค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม (เช่น ค่าธรรมเนียม 2.5% ที่มักเกิดขึ้นกับบัตรเครดิตทั่วไป)

• ระบบแลกเงินอัตโนมัติ SmartExchange: หากจำนวนสกุลเงินที่คุณแลกเก็บไว้ไม่พอ ระบบ SmartExchange จะช่วยแลกเงินอัตโนมัติให้การใช้จ่ายไม่สะดุด เพียงแค่คุณมีเงินบาทใน Wallet พอเพียง

• กด ATM ฟรีค่าธรรมเนียมทั่วโลก: ปกติแล้วจะมีค่าธรรมเนียม 2 ช่วง คือจากธนาคารในไทยและธนาคารท้องถิ่นต่างประเทศ แต่บัตร YouTrip ยกเว้นค่าธรรมเนียมในส่วนแรก ทำให้คุณจ่ายเฉพาะค่าธรรมเนียมของธนาคารท้องถิ่นเท่านั้น


ประกันเดินทางท่องโลก Travel Plus จากธนาคารกสิกรไทย เป็นผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่ออกแบบมาเพื่อให้ความคุ้มครองแก่ผู้เดินทางไปต่างประเทศคุ้มครองอย่างครอบคลุม ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งเราสามารถกดซื้อได้ง่ายๆ ผ่านทาง K PLUS (ดูรายละเอียดได้ที่ https://www.kasikornbank.com/th/kplus/instruction/insurance ) โดยมีจุดเด่นในการครอบคลุมความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการเดินทาง เช่น อุบัติเหตุ, การเจ็บป่วย, และความเสียหายต่อสัมภาระ

• คุ้มครองการเสียชีวิตการสูญเสียอวัยวะ สูงสุด 3,000,000 บาท

• คุ้มครองค่ารักษาพยาบาลในต่างประเทศ สูงสุด 3,000,000 บาท

• การเคลื่อนย้ายเพื่อการรักษาพยาบาล และการเคลื่อนศพกลับประเทศ สูงสุด 30,000,000 บาท

• คุ้มครองการสูญเสียต่อสัมภาระและทรัพย์สิน สูงสุด 30,000 บาท

• คุ้มครองเด็กตั้งแต่อายุ 1 ขวบขึ้นไป

• เบี้ยประกันเดินทางท่องโลกเริ่มต้นเพียงวันละ 42.5 บาท


ขอขอบคุณข้อมูลจาก: Kbank



คำเตือน


ผู้เขียน

K WEALTH อรรถกิจ พิมพ์ศรี
Back to top