ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 3 ในปี 2024
โดยลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% เหลือ 3.25% เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อที่ชะลอตัวลง โดยเดือนกันยายนที่ผ่านมา อัตราเงินเฟ้อลดลงต่ำกว่าเป้าหมายที่ 2% เป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 2021 คาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะเข้าสู่เป้าหมายภายในช่วงครึ่งแรกของปี 2025 เร็วกว่าที่คาดการณ์ ก่อนหน้านี้ ECB ตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจที่เริ่มชะลอตัวในหลายภาคส่วน รวมถึงภาคเอกชนและตลาดแรงงานที่เริ่มมีสัญญาณอ่อนแอลง อย่างไรก็ตาม ประธาน ECB คริสติน ลาการ์ด ได้กล่าวว่า ความเสี่ยงต่อการเติบโตของเศรษฐกิจยังคงมีอยู่แต่ไม่น่าจะเกิดภาวะถดถอย
ในเดือนธันวาคมที่จะถึงนี้ เจ้าหน้าที่ ECB คาดการณ์ว่ามีความเป็นไปได้สูงที่จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม โดยอาจลดอีก 0.25% หรือ 0.50% ซึ่งอาจช่วยป้องกันการชะลอตัวของเศรษฐกิจยูโรโซนให้สามารถฟื้นตัวได้อย่างนุ่มนวล บรรดานักลงทุนเริ่มคาดการณ์ว่า ECB จะคงนโยบายผ่อนคลายทางการเงินจนถึงไตรมาสแรกของปี 2025
นอกจากนี้ ราคาสินค้าและบริการในยูโรโซนลดลงมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ ทำให้เกิดแรงกดดันให้ ECB ดำเนินมาตรการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ โดยตลาดคาดการณ์ว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องในปีหน้า รวมถึงอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น และนักลงทุนบางส่วนเริ่มคาดการณ์ว่าการปรับลดครั้งถัดไปในเดือนธันวาคมอาจมากถึง 0.50%
ดัชนีที่เกี่ยวข้อง
- STOXX Europe 600: -0.3%
- DAX: -0.45%
- FTSE 100: -0.35%
- CAC 40: -0.55%
มุมมองการลงทุน
K Wealth มีมุมมองเป็นกลางต่อตลาดหุ้นยุโรป เนื่องจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ ECB ในครั้งนี้เป็นสัญญาณชัดเจนว่า ทางธนาคารกลางมุ่งมั่นที่จะควบคุมเงินเฟ้อในขณะที่พยายามพยุงเศรษฐกิจให้ฟื้นตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเยอรมนี ซึ่งเป็นประเทศเศรษฐกิจหลักของยุโรป กำลังเผชิญกับการชะลอตัว การคาดการณ์ว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนธันวาคมมีแนวโน้มสูงจะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน แต่ยังมีความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์และอัตราเงินเฟ้อที่อาจเร่งตัวขึ้นในอนาคตที่ยังคงเป็นปัจจัยที่ต้องจับตามองต่อไป
กองทุน MEURO-G ที่มีผลการดำเนินงาน -3.09% (ณ วันที่ 16 ต.ค.24) สาเหตุหลักมาจากหุ้น ASML ซึ่งเป็นหุ้นที่ถือครองสูงสุดของกองทุน ได้รายงานผลประกอบการในไตรมาสที่ 3 ที่ผิดคาด ส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวลง -16% นอกจากนี้ ความต้องการสินค้าหรูจากจีนที่ลดลง ทำให้หุ้น LVMH ซึ่งเป็นอีกหนึ่งหุ้นที่ถือครองสูงสุด ปรับตัวลดลงอีกด้วย
• สำหรับผู้ที่ถือกองทุน MEURO-G มากกว่า 30% ของเงินลงทุนทั้งหมด แนะนำหาจังหวะทยอยลดสัดส่วนให้เหลือไม่เกิน 30%
• สำหรับผู้ที่ถือกองทุน MEURO-G น้อยกว่า 30% ของเงินลงทุนทั้งหมด แนะนำคงน้ำหนักการลงทุน
จีนรายงาน GDP ไตรมาส 3 และดัชนีกิจกรรมเศรษฐกิจประจำเดือน ก.ย.
• จีนรายงาน GDP ไตรมาส 3 อยู่ที่ระดับ 4.6% ตามที่ตลาดคาด โดยชะลอลงจากระดับ 4.7% ในช่วงไตรมาส 2 และอยู่ต่ำกว่าเป้าหมายปีนี้ของรัฐบาลที่ 5% โดยมีรายละเอียดดังนี้
• ดัชนีการผลิตภาคอุตสหกรรม +5.4% สูงกว่าที่คาดที่ 4.6% และสูงกว่าเดือนก่อนหน้าที่ 4.5%
• ดัชนีค้าปลีก +3.2% สูงกว่าคาดที่ +2.5% และสูงกว่าเดือนก่อนหน้าที่ +2.1%
• อัตราการว่างงานอยู่ที่ระดับ 5.1% ต่ำกว่าคาดและเดือนก่อนหน้าที่ 5.3%
ดัชนีที่เกี่ยวข้อง
- Shanghai: +0.78%
- China A50: +1.32%
- Hang Seng: +1.14%
มุมมองการลงทุน
K Wealth มีมุมมองเป็นกลางต่อตลาดหุ้นจีน การประกาศตัวเลข GDP ของจีนที่เป็นไปตามการคาดการณ์ แสดงให้เห็นว่าจีนยังคงต้องการนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจในปีนี้ นอกจากนี้ ข้อมูลดัชนีกิจกรรมทางเศรษฐกิจในเดือนกันยายนที่ผ่านมา แสดงให้เห็นถึงภาพรวมเชิงบวกเกินคาด เป็นสัญญาณว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ผ่านมาเริ่มมีผล อย่างไรก็ตามยังคงต้องติดตามผลของมาตรการเหล่านี้ในระยะยาวและความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจจีนโดยเฉพาะในภาคอสังหาริมทรัพย์
สำหรับกองทุนแนะนำของ K WEALTH ประจำเดือน ต.ค. 67
• ผู้ที่รับความเสี่ยงจากการลงทุนได้
o แนะนำพิจารณาลงทุนกองทุน K-GHEALTH* (ระดับความเสี่ยง 6 จาก 8 ระดับ) ลงทุนในบริษัท Healthcare ครอบคลุมทั้งกลุ่ม Defensive เช่น Pharmaceutical, Healthcare Services และกลุ่ม Growth เช่น Medtech, Biotechnology
o แนะนำพิจารณาลงทุนกองทุน K-VIETNAM* (ระดับความเสี่ยง 6 จาก 8 ระดับ) ลงทุนหุ้นเวียดนามที่รับประโยชน์จากการเติบโตของเศรษฐกิจ เช่น บริโภคภายใน การเงิน อุตสาหกรรม
o แนะนำพิจารณาลงทุนกองทุน K-GINFRA* (ระดับความเสี่ยง 6 จาก 8 ระดับ) ซึ่งลงทุนในบริษัทด้านโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลก เช่น ท่อก๊าซ โรงไฟฟ้า สนามบิน
o แนะนำพิจารณาลงทุนกองทุน K-GOLD** (ระดับความเสี่ยง 8 จาก 8 ระดับ) เพื่อรับกับความผันผวนจากสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน
• สำหรับนักลงทุนที่มีความกังวลต่อความผันผวนของตลาดหุ้น หรือกังวลกับความเสี่ยงในการลงทุน
o หากรับความเสี่ยงได้บ้าง หรือเป็นเงินลงทุนที่ถือได้อย่างน้อย 1 ปี ขอแนะนำกองทุนตราสารหนี้ ได้แก่
▪ กองทุน K-FIXED-A** (ระดับความเสี่ยง 4 จาก 8 ระดับ) ในกรณีที่ไม่ต้องการรับความเสี่ยงจากการลงทุนต่างประเทศ
▪ กองทุน K-FIXEDPLUS** (ระดับความเสี่ยง 4 จาก 8 ระดับ) ในกรณีที่ต้องการเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนจากการลงทุนต่างประเทศหรือรับความเสี่ยงจากการลงทุนต่างประเทศได้
• หากรับความเสี่ยงได้ต่ำ หรือต้องการหลีกเลี่ยงทางเลือกที่มีความผันผวน หรือต้องการพักเงินสั้นๆ เพื่อรอจังหวะเข้าลงทุนอีกครั้ง แนะนำ
o กองทุน K-SF-A** (ระดับความเสี่ยง 4 จาก 8 ระดับ) ซึ่งเหมาะกับการลงทุน 1-3 เดือน
o กองทุน K-SFPLUS** (ระดับความเสี่ยง 4 จาก 8 ระดับ) เหมาะกับการลงทุน 3-6 เดือน
ขอขอบคุณข้อมูลจาก Bloomberg
Disclaimer: “ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน”
*กองทุน K-GHEALTH, K-VIETNAM และ K-GINFRA มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุนหรือป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนบางส่วน
**กองทุน K-FIXED-A, K-FIXEDPLUS, K-SF-A, K-SFPLUS และ K-GOLD มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมด