แนะนำกลยุทธ์ประหยัดภาษีแบบ Growth

กองทุนลดหย่อนภาษีสำหรับนักลงทุนแบบ Growth มีกองอะไรแนะนำบ้าง

• ช่วงเทศกาลลดหย่อนภาษีแบบนี้ ทาง K WEALTH ขอแนะนำ “กลยุทธ์การลดหย่อนภาษีแบบ Growth” ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดหย่อนภาษีพร้อมกับเกาะกระแสเพื่อหาผลตอบแทนส่วนเพิ่มไปกับ Theme การลงทุนที่น่าสนใจในช่วงนี้


• โพยกองทุนแนะนำสำหรับลดหย่อนภาษีแบบ Growth จะเป็น K-VIETNAM-SSF สำหรับลงทุนเติบโตไปกับหุ้นเวียดนาม KGHRMF สำหรับลดความผันผวนพร้อมสร้างผลตอบแทนส่วนเพิ่มด้วยหุ้นกลุ่มสุขภาพ ไปจนถึงการลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกเพื่อรับกับเทรนด์ดอกเบี้ยขาลงผ่านกองทุน K-GIFRMF (กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน) และ K-GDRMF (ทองคำ)




ช่วงนี้เป็นฤดูกาลลดหย่อนภาษี ผู้มีรายได้ถึงเกณฑ์ต้องเสียภาษีและต้องการลงทุนแบบ Growth อยากทราบว่า ปลายปีนี้ จะมีให้เลือกกองทุนใน Theme อะไรบ้างที่น่าสนใจ ในบทความนี้ K WEALTH ขอนำเสนอ Theme การลงทุนเพื่อลดหย่อนภาษีที่เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการทั้งสิทธิ์ในการลดหย่อนภาษีในช่วงฤดูกาลลดหย่อนแบบนี้ แต่ก็ต้องการลุ้นรับผลตอบส่วนเพิ่มตาม Sentiment เชิงบวกที่น่าสนใจในช่วงนี้ ซึ่งเราจะขอนิยามกลยุทธ์การลงทุนนี้ว่า การลงทุนลดหย่อนภาษีแบบ “Growth”



Theme การลงทุนประหยัดภาษีแบบ Growth

ทาง K WEALTH ขอนำเสนอ 3 Theme การลงทุนประหยัดภาษีแบบ Growth ดังนี้

1.Theme หุ้นทวีปเอเชีย หากดูดัชนีที่ใช้เป็นตัวแทนหุ้นประเทศในทวีปเอเชีย (MSCI Asia Pacific) ซึ่งประกอบด้วยดัชนีหุ้นประเทศต่างๆ เช่น จีน ญี่ปุ่น อินเดีย ไต้หวัน เกาหลีใต้ ฯลฯ มีผลตอบแทนนับตั้งแต่ต้นปีค่อนข้างโดดเด่นที่ 15*% ถือเป็นผลตอบแทนที่ค่อนข้างดี แม้ว่าผลตอบแทนในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาจะปรับลดลงมาอยู่ที่ -4.95*% แต่หากนักลงทุนที่ถือลงทุนมาตั้งแต่ต้นปี ก็จะยังคงมีผลตอบแทนจากการลงทุนในภาพรวมที่เป็นบวกอยู่ หากมองไปข้างหน้าผ่านอัตราส่วน Fwd P/E* ที่เอาไว้พิจารณาความถูกแพงของตลาดหุ้น จะพบว่า ตลาดหุ้นส่วนใหญ่ในทวีปเอเชีย มีทั้งที่ซื้อขายแพงกว่าหรืออยู่ในระดับใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ย จะมีเพียงตลาดหุ้นประเทศเวียดนาม ที่ซื้อขายด้วย Fwd P/E ที่ 11.81* เท่า ต่ำกว่าราคาเฉลี่ยที่ราว 15* เท่า อย่างเห็นได้ชัด (จากรูปที่ 1) (* ข้อมูล ณ วันที่ 31 ต.ค. 67)




รูปที่ 1 แสดง Fwd P/E Ratio ของดัชนีประเทศต่างๆ (ณ วันที่ 31 ต.ค. 67 จาก Bloomberg)


2.Theme หุ้นกลุ่มสุขภาพ จากรูปที่ 1 จะเห็นว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็น ดัชนี S&P500, NASDAQ หรือ Dow Jones มี Fwd P/E (ณ วันที่ 31 ต.ค. 67) ที่สูงกว่าราคาเฉลี่ย นั่นแปลว่า ราคาตลาดปัจจุบันของหุ้นสหรัฐฯ ค่อนข้างสูงแล้ว เมื่อแยกรายละเอียดของดัชนี S&P 500 ที่มีหุ้น 7 นางฟ้า (Seven Magnificent) พบว่า หุ้น Magnificent 7 ได้แก่ ALPHABET AMAZON APPLE META MICROSOFT NVIDIA TESLA (เส้นสีเขียว) ที่เป็นหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ให้ผลตอบแทนที่ 45.35% โดดเด่นกว่าดัชนี S&P 500 ที่เป็นตัวแทนหุ้นขนาดใหญ่ ที่ให้ผลตอบแทน 20.79% (นับตั้งแต่ต้นปี จนถึงวันที่ 2 พ.ย. 67) และเมื่อดึงหุ้น Magnificent 7 ออกจากดัชนี 500 จะทำให้ผลตอบแทนลดลงเหลือ 13.80% (นับตั้งแต่ต้นปี จนถึงวันที่ 2 พ.ย. 67) แสดงให้เห็นว่า หุ้น Magnificent 7 เป็นหุ้นที่ขับเคลื่อนผลตอบแทนของดัชนี S&P 500 อย่างมาก แม้ว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯจะปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างสูงจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่ม 7 นางฟ้าดังที่กล่าวไปข้างต้น แต่สหรัฐฯ ยังคงอยู่ในช่วงแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาลง ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีความน่าสนใจแต่ต้องเลือกลงทุนในหุ้นกลุ่มที่ยังซื้อขายในระดับราคาที่เหมาะสม ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ หุ้นกลุ่มสุขภาพ ทั้งอยู่ในระดับราคาที่เหมาะสม (ดูจากรูปที่ 1 ดัชนี MSCI World Health Care ที่มี Fwd P/E ปัจจุบันต่ำกว่าค่าเฉลี่ยเล็กน้อย แปลว่า ราคาปัจจุบันยังถูกกว่าค่าเฉลี่ยอยู่) และมีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้ดีเพราะเป็นหุ้นกลุ่ม Defensive ที่โดยปกติจะทำผลตอบแทนได้ดี โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนจากการเลือกตั้งและภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตได้


3.Theme การลงทุนทางเลือก (Alternative) แบ่งออกเป็น 2 Theme ย่อยคือ 1) ทองคำ ราคาทองคำทำ All Time High มาอย่างต่อเนื่องหลังธนาคารกลางประเทศต่างๆมีแนวโน้มถือครองทองคำเพิ่มขึ้นเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่เศรษฐกิจในหลายประเทศมีแนวโน้มชะลอตัว และยังได้รับแรงสนับสนุนจากแนวโน้มการลดอัตราดอกเบี้ยของ Fed ทำให้แนวโน้มค่าเงินสกุลดอลล่าร์อ่อนค่าลง รวมถึงความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่จะมีขึ้นในเดือน พ.ย. 67 และ 2) หุ้นกลุ่ม Global Infrastructure ซึ่งโดยปกติจะได้ประโยชน์จากการลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางอย่าง Fed ต่อเพราะนักลงทุนจะกลับมาสนใจลงทุนเพื่อรับผลตอบแทนจากอัตราการปันผลที่สูง (Search for Yield) ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ ประมาณ 4% อีกทั้งแนวโน้มกำไรกำลังฟื้นตัว ประกอบกับ ระดับราคา (Valuation) ไม่สูงเมื่อเทียบกับอดีต



เปิดโพยกองทุนลดหย่อนภาษีแบบ Growth

จาก Theme การลงทุนสำหรับสายลงทุนแบบ Growth ที่เล่าให้ฟัง ทาง K Wealth มีกองทุนลดหย่อนภาษีแนะนำ ดังนี้

1.กองทุน SSF เป็นกองทุนลดหย่อนภาษีเพิ่มเติมจากกอง ThaiESG โดยกองทุน SSF ที่เน้นลงทุนแบบ Growth ได้แก่ กองทุน K-VIETNAM-SSF (หุ้นเวียดนาม) (ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ตั้งกองทุน 2 พ.ค. 65 อยู่ที่ 8.71% ณ 31 ต.ค. 67) โดยกอง SSF เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 45 ปี สิทธิลดหย่อนสูงสุด 30% ของเงินได้ แต่ไม่เกิน 200,000 บาท


2.กองทุน RMF เป็นกองทุนลดหย่อนภาษีที่อยู่ในกลุ่มออมเงินเพื่อเกษียณ เช่นเดียวกับกอง SSF โดยกองทุน RMF ที่เน้นลงทุนแบบ Growth ได้แก่ KGHRMF (หุ้นกลุ่มสุขภาพ) (ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ตั้งกองทุน 11 ส.ค. 58 อยู่ที่ 3.45% ณ 30 ต.ค. 67), KGIFRMF(หุ้นกลุ่ม Global Infrastructure) (ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ตั้งกองทุน 19 พ.ย. 59 อยู่ที่ 2.44% ณ 30 ต.ค. 67) และ KGDRMF (ทองคำ) (ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ตั้งกองทุน 28 ธ.ค. 52 อยู่ที่ 4.88% ณ 30 ต.ค. 67) โดยกอง RMF เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 45 ปีขึ้นไป สิทธิลดหย่อนภาษีสูงสุด 30% ของเงินได้ แต่ไม่เกิน 500,000 บาท



คำเตือน


ผู้เขียน

K WEALTH สุนิติ ถนัดวณิชย์ CFP®
Back to top