หมดเวลาจำศีลหุ้นไทยแล้วหรือยัง

ก่อนหน้านี้ตลาดหุ้นไทยเข้าสู่โหมดจำศีลมานานกว่า 18 เดือน ก่อนที่จะเริ่มฟื้นตัวในช่วงครึ่งหลังของปี 2024 เนื่องมาจากปัจจัยบวกมากมาย ในปัจจุบันนี้เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นไทยหรือไม่ บทความนี้มีคำตอบ

• ตลาดหุ้นไทยในช่วงกว่า 1 ปีครึ่งที่ผ่านมา (ก.พ. 66-ส.ค.67) ถือได้ว่าอยู่ในโหมดซบเซาหลังปรับตัวลงถึง 24.5% จากความกังวลด้านเศรษฐกิจและปัจจัยลบทั้งในและต่างประเทศที่ถาโถมเข้ามา อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นไทยเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวชัดตั้งแต่เดือนส.ค. 67 เป็นต้นมา หลังได้อานิสงส์เชิงบวกจากหลายปัจจัย เช่น เสถียรภาพการเมือง เงินทุนวายุภักษ์ และการลดดอกเบี้ยของสหรัฐและไทย


• อย่างไรก็ดี สำหรับนักลงทุนที่สนใจลงทุนในตลาดหุ้นไทย เราแนะนำให้ติดตามหลากหลายปัจจัยโดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ซึ่งมีผลต่อเศรษฐกิจไทยและงบของบริษัทจดทะเบียน เช่น เม็ดเงินลงทุนในกองทุน ThaiESG งบประมาณเพิ่มเติมของโครงการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต งบประมาณปี 2568 ประเด็นหนี้ครัวเรือนไทยที่ยังอยู่ระดับสูง และสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน


• แม้ K Wealth ยังคงมีมุมมองเป็นกลาง (Neutral) ต่อตลาดหุ้นไทย และแนะนำให้รอดูสถานการณ์ก่อนตัดสินใจลงทุน แต่หากใครชื่อมั่นในศักยภาพของตลาดหุ้นไทยและสนใจลงทุนเติบโตในระยะยาว ทาง K Wealth มีกองทุนหุ้นไทย 2 สไตล์ให้นักลงทุนได้เลือกตามเป้าหมายการลงทุนของตัวเอง คือกองทุน K-VALUE ที่เน้นลงทุนในหุ้นที่มีผลการดำเนินงานมั่นคงและจ่ายปันผลสูงกว่าค่าเฉลี่ยตลาดอย่างต่อเนื่องในทุกสภาวะเศรษฐกิจ และกองทุน K-SET50 ซึ่งเน้นสร้างผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนีผลตอบแทนรวม SET50





ตลาดหุ้นไทยดีดตัวขึ้นช่วงครึ่งหลังของปีหลังจากเข้าสู่โหมดจำศีล



ที่มา: Trading View


ตลาดหุ้นไทยปรับลดลงต่อเนื่องจากข่าวเชิงลบเกือบตลอดช่วง 1 ปีครึ่งที่ผ่านมา จากภาพด้านบนจะเห็นว่า ตั้งแต่ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ปี 2023 จนถึงเดือนสิงหาคมปี 2024 หรือคิดเป็นช่วงเวลากว่า 18 เดือน ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงประมาณ -24.5% เนื่องจากปัจจัยลบหลายประการที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน เริ่มต้นจากช่วง xxx ที่ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของไทยในไตรมาสที่ 4 ของปี 2022 ออกมาต่ำกว่าที่คาดการณ์ ทำให้เกิดความวิตกกังวลเกี่ยวกับการเติบโตทางเศรษฐกิจ ต่อเนื่องมาด้วยข่าวการล้มละลายของธนาคาร SVB ในสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนทั่วโลกรวมถึงตลาดหุ้นไทยด้วย ความไม่ชัดเจนหลังการเลือกตั้งในประเทศก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ความเชื่อมั่นลดลง นอกจากนี้ ในช่วงกลางปี 2023 ยังมีข่าวการทุจริตของหุ้น STARK และข่าวการผิดนัดชำระหุ้นกู้ของหุ้น JKN ที่กระทบต่อบรรยากาศการลงทุน ในเดือนตุลาคม เกิดความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นซึ่งส่งผลกระทบต่อธุรกิจที่มีต้นทุนจากน้ำมัน สุดท้ายคือข่าวความกังวลเกี่ยวกับหุ้นขนาดใหญ่อย่าง EA เหตุการณ์ทั้งหมดที่กล่าวถึง ล้วนเป็นปัจจัยลบที่สร้างแรงกดดันต่อบรรยากาศการลงทุนในหุ้นไทยตลอดช่วง 1 ปีครึ่งที่ผ่านมา


บรรยากาศการลงทุนในหุ้นไทยเริ่มมีสัญญาณดีขึ้น อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นไทยปรับขึ้น +13.82 ( ณ วันที่ 30 ต.ค. 24) จากจุดต่ำสุดในเดือนสิงหาคม จากประเด็นดังต่อไปนี้


- การเมืองสดใส: การเข้ารับตำแหน่งนายกฯ ของ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ช่วยลดปัญหาสุญญากาศทางการเมือง ประกอบกับเศรษฐกิจไทยไตรมาส 2 ปี 2024 โตเกินคาดที่ 2.3% จากเดิม 2.1% ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยปิดบวก +20.38 จุด หรือ +1.56% โดยในวันที่ 19 สิงหาคม 2024 สถาบันซื้อสุทธิ 2,925 ล้านบาท


- เงินทุนจากกองทุนวายุภักษ์: กองทุนวายุภักษ์สร้างเสถียรภาพให้ตลาดด้วยเงินลงทุนใหม่ราว 1.0 - 1.5 แสนล้านบาท ทำให้ตลาดหุ้นปิดบวก +38.79 จุด ทะลุ 1,400 จุด ในวันที่ 5 กันยายน 2024 มีแรงหนุนจากการซื้อของต่างชาติ 7,571 ล้านบาท และสถาบันซื้อสุทธิ 3,615 ล้านบาท


- ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ลดดอกเบี้ย: การลดดอกเบี้ยของ Fed ลง 0.5% ครั้งแรกในรอบ 4 ปี สร้างความเชื่อมั่นเชิงบวกต่อตลาดหุ้นทั่วโลกรวมถึงไทย ทำให้ตลาดหุ้นไทยปิดบวก +19.07 จุด หรือ +1.33% โดยในวันที่ 19 กันยายน 2024ต่างชาติซื้อสุทธิ 1,037 ล้านบาท สถาบันซื้อสุทธิ 104 ล้านบาท และบัญชี บล. ซื้อสุทธิ 744 ล้านบาท


- คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ลดดอกเบี้ย: กนง. ปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% เหลือ 2.25% ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยปิดบวก +19.98 จุด หรือ +1.36% ในช่วงวันที่ 16 ตุลาคม 2024 ต่างชาติซื้อสุทธิ 4,201 ล้านบาท สถาบันซื้อสุทธิ 2,239 ล้านบาท



ประเด็นที่ต้องติดตาม

ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2024 ยังมีปัจจัยต่างๆ ที่จะส่งผลกระทบต่อภาพรวมการลงทุนในประเทศไทย โดยนักลงทุนจำเป็นต้องติดตามปัจจัยเหล่านี้อย่างใกล้ชิด


- ในช่วงปลายปี 67 คาดว่าจะยังคงมีเม็ดเงินไหลเข้ามาซื้อกองทุน Thai ESG หลังมีการปรับปรุงเงื่อนไขให้น่าสนใจ และดึงดูดนักลงทุนให้เข้ามาซื้อหน่วยลงทุนมากขึ้น ซึ่งนักวิเคราะห์คาดว่าจะมีเม็ดเงินจากส่วนนี้เข้ามาราว 2 หมื่นล้านบาท ที่จะช่วยหนุนต่อตลาดหุ้นไทยในช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้


- งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567: โดยมีวงเงินอยู่ที่ 1.22 แสนล้านบาท หลัก ๆ คือเพื่อสนับสนุนโครงการดิจิทัลวอลเล็ตที่เน้นแจกกลุ่มเปราะบางเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ มุ่งเพิ่มการใช้จ่ายในชุมชน ส่งเสริมธุรกิจรายย่อย และเพื่อให้มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมากขึ้น สร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้บริโภคและผู้ประกอบการ รวมถึงเสริมสร้างฐานเศรษฐกิจให้มีความมั่นคง


- งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568: โดยมีจำนวน 3.75 ล้านล้านบาท ไม่ล่าช้าเหมือนปีที่ผ่านมา โดยตั้งแต่ช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา มีการเบิกจ่ายแล้วกว่า 74,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 7.7% ของเงินที่ถูกเบิกจ่ายจริงจากงบประมาณลงทุนทั้งหมดในปีงบประมาณ 2568 ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายที่ 5.7% หลังจากนี้ต้องติดตามหากรัฐบาลสามารถเร่งดำเนินการเบิกจ่ายอย่างต่อเนื่อง เป้าหมายการเบิกจ่ายสำหรับการลงทุนที่ 80% ของงบประมาณทั้งหมดภายในปี 2568 จะสามารถบรรลุได้ และจะส่งผลดีต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจในอนาคต

- สัดส่วนหนี้ครัวเรือนไทยต่อ GDP: สัดส่วนหนี้ครัวเรือนในไตรมาสที่ 2 ปี 2024 อยู่ที่ 89.6% ของ GDP ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าหนี้ครัวเรือนไทยจะลดลงสู่ระดับ 88.5 – 89.5% ต่อ GDP ในสิ้นปี 2024 จากปัจจัยการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ยังช้า ซึ่งทำให้การเติบโตของหนี้ครัวเรือนต่ำกว่า 1% แม้ว่าระดับหนี้ครัวเรือนจะลดลงจากช่วงโควิดที่เคยสูงถึง 95.5% ของ GDP แต่ระดับปัจจุบันที่ยังอยู่เหนือ 80% ของ GDP อาจมีผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและเสถียรภาพการเงินในระยะยาว


- สงครามการค้ารอบใหม่หลังการเลือกตั้งสหรัฐฯ: ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อไทยในหลายด้าน เช่น การย้ายฐานการผลิตของสินค้าอย่างเซมิคอนดักเตอร์ เหล็ก และอะลูมิเนียม อาจเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจไทย ขณะเดียวกัน ความเป็นไปได้ในการลดลงของจำนวนนักท่องเที่ยวจีนมาเยือนไทยอาจเกิดขึ้น หากเศรษฐกิจจีนได้รับผลกระทบจากมาตรการตอบโต้ทางการค้า นอกจากนี้ ตลาดโลกที่ผันผวนและอัตราแลกเปลี่ยนที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว อาจสร้างแรงกดดันต่อการส่งออกของไทยในตลาดสำคัญอย่างสหรัฐฯ และจีน



เตรียมพร้อมการลงทุนสำหรับหุ้นไทย

ปัจจุบันกองทุนหุ้นไทยมีนโยบายการลงทุนที่หลากหลาย ซึ่งนักลงทุนสามารถเลือกได้ตามเป้าหมายและสไตล์การลงทุนที่เหมาะสม ในที่นี้จะนำเสนอสไตล์การลงทุนสองรูปแบบเพื่อให้นักลงทุนพิจารณา คือกองทุน K-VALUE และกองทุน K-SET50 โดยมีรายละเอียดดังนี้



K-VALUE
K-SET50
นโยบายการลงทุน
มุ่งเน้นการลงทุนในหุ้นที่มีผลการดำเนินงานที่มั่นคงในทุกสภาวะเศรษฐกิจ อีกทั้งมีการจ่ายเงินปันผลอย่างต่อเนื่องในระดับที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีและยั่งยืนในระยะยาว
กองทุนลงทุนในหุ้น SET50 เพื่อสร้างผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนีผลตอบแทนรวม SET50

Top 5 Holding
ที่มา : รายงานสถานะการลงทุนรายเดือน ข้อมูล ณ เดือน 30 ก.ย. 2024



เหมาะกับลูกค้าแบบไหน
เหมาะสำหรับนักลงทุนที่มองหาการเติบโตจากการลงทุนในหุ้นที่มีมูลค่าต่ำ (Value Stocks) เมื่อเทียบกับปัจจัยพื้นฐาน โดยเน้นลงทุนในหุ้นที่คาดว่าจะเติบโตในระยะยาว
เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการติดตามการเคลื่อนไหวของตลาดโดยรวม ผ่านการลงทุนในหุ้น 50 ตัวที่มีมูลค่าตลาดสูงและสภาพคล่องสูงใน SET50 Index
มุมมอง K Wealth
K Wealth ยังคงมีมุมมองเป็นกลาง (Neutral) ต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทย เนื่องจากดัชนีหุ้นไทยได้สะท้อนข่าวดีที่ผ่านมาแล้ว และยังไม่มีปัจจัยใหม่ที่สามารถช่วยสนับสนุนตลาดในระยะต่อไป ส่งผลทำให้การปรับตัวขึ้นของดัชีหุ้นไทยอาจถูกจำกัด
นักลงทุนที่มีสัดส่วนการลงทุนในหุ้นไทย มากกว่า 30% แนะนำทยอยหาจังหวะขายทำกำไรเพื่อรักษาสัดส่วนการลงทุนโดยรวมให้เหมาะสม แล้วนำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์อื่นที่มีโอกาสน่าสนใจกว่า
นักลงทุนที่ถือหุ้นไทยไม่ถึง 30% สามารถถือลงทุนต่อได้ แต่ยังไม่แนะนำให้ลงทุนเพิ่มจนกว่าจะเห็นสัญญาณชัดเจนว่าเศรษฐกิจไทยปรับตัวดีขึ้นจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ และปัจจัยอื่นๆ ซึ่งเราคาดว่าจะเห็นได้ในช่วง 2 - 3 เดือนข้างหน้า


ขอขอบคุณข้อมูลจาก: Kasikornbank, Kasikornasset



คำเตือน


ผู้เขียน

K WEALTH อรรถกิจ พิมพ์ศรี
Back to top