ธนาคารกลางยุโรปประกาศหั่นดอกเบี้ย 0.25%
ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ได้มีมติในที่ประชุมเมื่อวันที่ 12 ธ.ค. ให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% นับเป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งที่ 4 ในปีนี้ และพร้อมส่งสัญญาณเดินหน้าผ่อนคลายนโยบายการเงินต่อในปีหน้า หลังจากที่อัตราเงินเฟ้อในกลุ่มยูโรโซนขยายตัวเพียง 2.3% ในเดือนพ.ย. ที่ผ่านมา
การปรับลดอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยเงินฝากอยู่ที่ระดับ 3.00% ขณะที่อัตราดอกเบี้ยเงินกู้อยู่ที่ระดับ 3.40% ส่วนอัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์อยู่ที่ระดับ 3.15%
ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อของกลุ่มประเทศยูโรโซนในเดือนพ.ย. ขยายตัว 2.3% เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเข้าใกล้กรอบเป้าหมายของทางการที่ระดับ 2.0%
ในปีนี้ ยูโรต้องรับมือกับภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ความไม่เสถียรทางการเมืองในเยอรมนีและฝรั่งเศส และอุปสงค์ที่อ่อนแอจากจีนซึ่งเป็นผู้บริโภครายใหญ่ เนื่องจากบริษัทส่วนใหญ่ในยุโรปพึ่งพาการส่งออก สงครามการค้ากับสหรัฐฯ อาจเป็นอุปสรรคสำคัญในปี 2025
ดัชนีที่เกี่ยวข้อง
จากการประชุมของ ECB เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2024 ส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นยุโรปมีความเคลื่อนไหวในกรอบที่แคบ ทั้งในเชิงบวกและลบ
• ตลาดหุ้นยุโรป STOXX 600 -0.14%
• ตลาดหุ้นฝรั่งเศส CAC 40 -0.03%,
• ตลาดหุ้นเยอรมนี DAX +0.13%
• ตลาดหุ้นลอนดอน FTSE 100 +0.12%
การเปลี่ยนแปลงของดัชนีนี้จะมีผลต่อราคากองทุนยุโรปที่เกี่ยวข้องในวันถัดไป เช่น K-EUX, K-EUROPE-A(D), K-EUSMALL
มุมมองการลงทุน
K WEALTH มีมุมมองเป็นกลางต่อการลงทุนในตลาดหุ้นยุโรป เนื่องจากเศรษฐกิจยุโรปเริ่มมีแนวโน้มชะลอตัวลง และคาดว่าปีหน้าจะยังคงชะลอตัวต่อทั้งในภาคการผลิตและภาคบริการ แม้ว่า ECB จะดำเนินมาตรการลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไป แต่ยังต้องเผชิญกับความผันผวนจากนโยบายการค้าระหว่างประเทศของประธานาธิบดีทรัมป์ และกำลังซื้อจากจีนที่ยังคงไม่ฟื้นตัว
คำแนะนำ การลงทุนกองทุนยุโรป เช่น K-EUX, K-EUROPE-A(D), K-EUSMALL
o สำหรับผู้ที่ถือกองทุนหุ้นยุโรป น้อยกว่า 30% ของเงินลงทุนทั้งหมด แนะนำคงน้ำหนักการลงทุนในสัดส่วนเดิมที่ถืออยู่
o สำหรับผู้ที่ถือกองทุนหุ้นยุโรปเกิน 30%ของเงินลงทุนทั้งหมด แนะนำพิจารณาหาโอกาสขายเพื่อลดสัดส่วนให้เหลือไม่เกิน 30%ของเงินลงทุนรวม
o ผู้ลงทุนใหม่แนะนำรอประเมินสถานการณ์ก่อนเข้าลงทุน
• ผู้ที่รับความเสี่ยงจากการลงทุนได้
o แนะนำพิจารณาลงทุนกองทุน K-GHEALTH* (ระดับความเสี่ยง 6 จาก 8 ระดับ) ลงทุนในบริษัท Healthcare ครอบคลุมทั้งกลุ่ม Defensive เช่น Pharmaceutical, Healthcare Services และกลุ่ม Growth เช่น MedTech, Biotechnology
o แนะนำพิจารณาลงทุนกองทุน K-USA* (ระดับความเสี่ยง 6 จาก 8 ระดับ) ลงทุนในบริษัทที่มีศักยภาพในตลาดหุ้นสหรัฐฯ พร้อมรับทุกโอกาสการเติบโตของเศรษฐกิจและธุรกิจสหรัฐฯ
o แนะนำพิจารณาลงทุนกองทุน K-VIETNAM* (ระดับความเสี่ยง 6 จาก 8 ระดับ) ลงทุนหุ้นเวียดนามที่รับประโยชน์จากการเติบโตของเศรษฐกิจ เช่น บริโภคภายใน การเงิน อุตสาหกรรม
o แนะนำพิจารณาลงทุนกองทุน K-GINFRA* (ระดับความเสี่ยง 6 จาก 8 ระดับ) ซึ่งลงในบริษัทด้านโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลก เช่น ท่อก๊าซ โรงไฟฟ้า สนามบิน
o แนะนำพิจารณาลงทุนกองทุน K-GOLD** (ระดับความเสี่ยง 8 จาก 8 ระดับ) เพื่อรับกับความผันผวนจากสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน
• สำหรับนักลงทุนที่มีความกังวลต่อความผันผวนของตลาดหุ้น หรือกังวลกับความเสี่ยงในการลงทุน
o หากรับความเสี่ยงได้บ้าง หรือเป็นเงินลงทุนที่ถือได้อย่างน้อย 1 ปี ขอแนะนำกองทุนตราสารหนี้ ได้แก่
กองทุน K-FIXED-A** (ระดับความเสี่ยง 4 จาก 8 ระดับ) ในกรณีที่ไม่ต้องการรับความเสี่ยงจากการลงทุนต่างประเทศ
กองทุน K-FIXEDPLUS** (ระดับความเสี่ยง 4 จาก 8 ระดับ) ในกรณีที่ต้องการเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนจากการลงทุนต่างประเทศหรือรับความเสี่ยงจากการลงทุนต่างประเทศได้
• หากรับความเสี่ยงได้ต่ำ หรือต้องการหลีกเลี่ยงทางเลือกที่มีความผันผวน หรือต้องการพักเงินสั้นๆ เพื่อรอจังหวะเข้าลงทุนอีกครั้ง แนะนำ
o กองทุน K-SF-A** (ระดับความเสี่ยง 4 จาก 8 ระดับ) ซึ่งเหมาะกับการลงทุน 1-3 เดือน
o กองทุน K-SFPLUS** (ระดับความเสี่ยง 4 จาก 8 ระดับ) เหมาะกับการลงทุน 3-6 เดือน
ขอขอบคุณข้อมูลจาก Bloomberg