หลายปัจจัยส่งผลให้ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น
1. ความไม่แน่นอนในภูมิภาคตะวันออกกลางยังยืดเยื้อ
ราคาน้ำมันดิบปรับเพิ่มสูงขึ้นหลังวันที่ 8 ธ.ค. 67 จากการที่กลุ่มกบฏซีเรียสามารถยึดครองกรุงดามัสกัสที่เป็นเมืองหลวงของซีเรียและโค่นล้มรัฐบาลของอดีตประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด ซึ่งรัสเซียและอิหร่านได้ให้การสนับสนุน ส่งผลกระทบต่อความไม่มั่นคงในพื้นที่ตะวันออกกลาง และอาจกระทบกับความสัมพันธ์อันดีกับประเทศผลิตน้ำมันขนาดใหญ่อย่างรัสเซียและอิหร่าน
อย่างไรก็ดี ผลจากความขัดแย้งในซีเรียส่งผลจำกัดต่อราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก เนื่องจากซีเรียไม่ใช่ผู้ผลิตและส่งออกน้ำมันดิบรายสำคัญของโลก โดยหลังจากเกิดสงครามกลางเมืองในซีเรียปี 54 โครงสร้างพื้นฐานและภาคการผลิตน้ำมันถูกทำลาย ส่งผลให้ซีเรียผลิตน้ำมันดิบได้ลดลงมากจากก่อนหน้านี้ที่ผลิตได้ราว 380,000 บาร์เรลต่อวัน โดยน้ำมันทั้งหมดเป็นการผลิตเพื่อใช้บริโภคในประเทศ
ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบมีความเสี่ยงที่จะเพิ่มขึ้น หากสถานการณ์ขยายวงกว้างออกไปนอกซีเรีย แต่จากสถานการณ์ปัจจุบันคาดว่าจะยังอยู่ในวงจำกัด เนื่องจากรัสเซียกำลังมุ่งทำสงครามกับยูเครน และอิหร่านมีบทบาทมากขึ้นในสงครามอิสราเอล-ฮามาส ขณะที่นโยบายผู้นำสหรัฐฯ คนใหม่มีนโยบายลดบทบาทของสหรัฐฯ ในพื้นที่ความขัดแย้งต่างๆ และมุ่งประโยชน์ของประเทศเป็นหลัก
2. การกระตุ้นเศรษฐกิจจีนครั้งใหญ่ หนุนความหวังราคาน้ำมันฟื้นตัว
ราคาน้ำมันยังได้รับปัจจัยบวกจากรายงานที่ว่า กรมการเมืองแห่งคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน หรือ โปลิตบูโร ช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ระบุว่า จีนจะใช้มาตรการทางการคลังในเชิงรุกมากขึ้น รวมทั้งใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายในปีหน้าเพื่อกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ซึ่งเป็นการสร้างความมั่นใจจากรัฐบาลจีนในการรับมือกับสงครามการค้าที่อาจเกิดขึ้นจากทรัมป์ โดยนับเป็นครั้งแรกในรอบ 14 ปีหรือนับตั้งแต่ปี 53 ที่จีนส่งสัญญาณผ่อนคลายนโยบายการเงิน
ขณะเดียวกันจีนนำเข้าน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นในเดือนพ.ย. เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นครั้งแรกในรอบ 7 เดือน
3. ยุโรปประกาศคว่ำบาตรรัสเซีย-อิหร่านและแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงอาจหนุนราคาน้ำมัน
น้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) พุ่งขึ้นเกือบ 2% ในวันศุกร์ 13 ธ.ค. แตะระดับสูงสุดในรอบ 3 สัปดาห์ หลังคณะเอกอัครราชทูตสหภาพยุโรป (EU) ตกลงที่จะกำหนดมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียครั้งที่ 15 ในสัปดาห์นี้ อันเนื่องมาจากสงครามของรัสเซียกับยูเครน โดยมุ่งเป้าไปที่กองเรือบรรทุกน้ำมันเงาของรัสเซีย (shadow tanker fleet) ขณะที่สหรัฐฯ ก็กำลังพิจารณาดำเนินการในลักษณะเดียวกัน
อังกฤษ ฝรั่งเศส และเยอรมนีแจ้งต่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) ว่า พวกเขาพร้อมที่จะกลับไปใช้มาตรการคว่ำบาตรระหว่างประเทศทั้งหมดต่ออิหร่านหากจำเป็น เพื่อป้องกันไม่ให้อิหร่านพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์จากการคาดการณ์ว่า การคว่ำบาตรเพิ่มเติมกับรัสเซียและอิหร่านอาจทำให้อุปทานตึงตัวขึ้น และอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงในยุโรปและสหรัฐฯ อาจช่วยหนุนความต้องการน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นโดยอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลงสามารถกระตุ้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจและเพิ่มความต้องการน้ำมัน
ดัชนีที่เกี่ยวข้อง (ผลตอบแทน 1 สัปดาห์ ระหว่างวันที่ 9 - 13 ธ.ค. 67)
กองทุนหลัก Invesco DB Oil : +5.42%
(ราคากองทุนหลักจะสะท้อนในกองทุน K-OIL ในวันที่ 17 ธ.ค. 67 (ประกาศ NAV T+2)
มุมมองการลงทุน
K WEALTH ยังคงมีมุมมองเป็นกลางต่อการลงทุนในกองทุนน้ำมัน เนื่องจากลักษณะเฉพาะของสินทรัพย์ประเภทนี้ที่มีความผันผวนสูง ซึ่งราคาน้ำมันได้รับผลกระทบจากปัจจัยหลากหลาย ทั้งในเชิงเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ โดยปัจจัยสำคัญที่ควรพิจารณา ได้แก่:
1. ความต้องการและอุปทานน้ำมันโลก ราคาน้ำมันมักตอบสนองต่อความสมดุลระหว่างความต้องการ (Demand) และอุปทาน (Supply) ในตลาดโลก ตัวอย่างเช่น การฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศผู้ใช้น้ำมันรายใหญ่ เช่น จีนและสหรัฐฯ อาจผลักดันให้ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น ในขณะที่การเพิ่มกำลังการผลิตจากกลุ่มผู้ส่งออกน้ำมัน (OPEC+) ที่มีแนวโน้มผลิตเพิ่มขึ้นในปีหน้าหรือการค้นพบแหล่งพลังงานทดแทนใหม่ ๆ อาจกดดันให้ราคาน้ำมันปรับลดลง
2. สถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ ความขัดแย้งทางการเมือง เช่น สงครามหรือความตึงเครียดในภูมิภาคที่เป็นแหล่งผลิตน้ำมันหลักยังคงยืดเยื้อ เช่น ตะวันออกกลาง หรือรัสเซีย-ยูเครน มักส่งผลโดยตรงต่อราคาน้ำมัน เนื่องจากความเสี่ยงในการหยุดชะงักของอุปทาน
3. นโยบายการเงินของธนาคารกลาง การปรับขึ้นหรือลดอัตราดอกเบี้ยโดยธนาคารกลาง เช่น เฟด (FED) มีผลต่อค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นสกุลเงินหลักในการซื้อขายน้ำมัน หากค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ราคาน้ำมันอาจถูกกดดันให้ลดลง และในทางกลับกันหากเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง ทำให้ราคาน้ำมันถูกลงสำหรับนักลงทุนต่างชาติ
โดยในสถานการณ์ปัจจุบันเป็นทิศทางดอกเบี้ยขาลง การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ Fed ส่งผลให้สภาพคล่องในตลาดการเงินเพิ่มขึ้น ทำให้ให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐมีแนวโน้มอ่อนค่าลง ราคาน้ำมันที่ซื้อขายในสกุลเงินดอลลาร์จึงมีราคาถูกลงสำหรับนักลงทุนที่ถือสกุลเงินอื่น ซึ่งอาจเป็นการกระตุ้นความต้องการน้ำมันในตลาดโลก ส่งผลให้ราคาน้ำมันมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น
แม้ว่ากองทุนน้ำมันจะได้รับปัจจัยสนับสนุนในบางช่วง แต่ตลาดน้ำมันยังถือเป็นตลาดที่มีความเสี่ยงสูง เนื่องจากความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นจากปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้
คำแนะนำการลงทุนในกองทุนน้ำมัน
o ผู้ที่ลงทุนกองทุนน้ำมัน ได้แก่ K-OIL สามารถถือลงทุนต่อได้ หรือหากมีกำไรแนะนำขายทำกำไรบางส่วน โดยมีสัดส่วนการลงทุนที่แนะนำไม่เกิน 15% ของพอร์ตการลงทุนทั้งหมด
o สำหรับผู้ที่ยังไม่มีกองทุนน้ำมัน แนะนำรอประเมินสถานการณ์ โดยพิจารณาความเสี่ยง ความผันผวน และแนะนำให้กระจายการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ เพื่อไม่ให้พอร์ตการลงทุนพึ่งพาการเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันเพียงอย่างเดียว
ขอขอบคุณข้อมูลจาก Bloomberg ศูนย์วิจัยกสิกร สำนักข่าวอินโฟเควสท์ และ บมจ. ไทยออยล์