รีวิวกองทุน K-WealthPlus Series พร้อมโอกาสลงทุนต่อเนื่อง

• ต้องยอมรับว่ากองทุน K WealthPLUS Series ผ่านหลากหลายเรื่องราวทั้งที่ดีและไม่ดีในปี 2024 แต่ก็มีความทนทานเนื่องจากกองทุนมีการกระจายการลงทุนไปในหลากหลายกลุ่มอุตสาหกรรมทั้งหุ้นและตราสรหนี้ และยังฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วเป็นผลมาจากสัดส่วนการลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ ที่ทำผลตอบแทนได้ดีค่อนข้างมาก และผู้จัดการกองทุนมีการปรับพอร์ตได้ทันต่อสถานการณ์

• และเรายังมองว่าในปี 2025 จะยังคงเป็นภาพคล้ายๆเดิมแต่อาจจะมีความผันผวนที่รุนแรงขึ้นจากนโยบายของว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ที่กลับมาดำรงตำแหน่งเป็นสมัยที่ 2 จากนโยบายที่จะเป็นความกังวลของนักลงทุนแต่ก็ยังมีในมุมที่ส่งผลดีบ้างอย่างการลดภาษีของบริษัทจดทะเบียน รวมถึงภาพรวมเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่ยังคงแข็งแกร่ง ที่ยังเป็นปัจจัยบวกในการลงทุนได้ต่อเนื่องในปี 2025


ความท้าทายจากการลงทุนในปี 2024

ในปี 2024 ตลาดการลงทุนทั่วโลกเผชิญกับเหตุการณ์สำคัญที่ส่งผลต่อทิศทางและกลยุทธ์การลงทุนหลายประการ ไม่ว่าจะเป็น 1) ความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในตะวันออกกลางระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน ส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกเกิดความผันผวนในช่วงเดือนเมษายน แม้สถานการณ์จะผ่อนคลายลง แต่ยังคงเป็นปัจจัยที่นักลงทุนต้องติดตามอย่างใกล้ชิด 2) การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ในรอบ 4 ปี 3) เหตุการณ์ Black Monday ในวันที่ 5 สิงหาคม ที่เริ่มจากความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐฯ ประกอบกับธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ปรับขึ้นดอกเบี้ยไปสู่ระดับ 0.25% รวมถึงแสดงท่าทีที่จะขึ้นดอกเบี้ยต่อหากจำเป็น 4) การเติบโตของสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างบิตคอยน์ (Bitcoin) ที่เป็นสินทรัพย์ที่สร้างผลตอบแทนสูงสุดในปีนี้ โดยราคาปรับตัวขึ้นจาก 40,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ (30 ธ.ค. 23) เป็น 107,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ (17 ธ.ค. 24) 5) แนวโน้มเศรษฐกิจโลกมีการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปจากภาคการผลิตและการส่งออก 6) หากไม่กล่าวถึงผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ ก็คงไม่ได้ที่ส่งผลให้ตลาดหุ้นกลับมาเป็นตลาดกระทิงอีกครั้งในช่วงสิ้นปี


จากที่กล่าวมาข้างต้นจะเห็นได้ว่ามีทั้งปัจจัยบวกและลบเกิดขึ้นในปีนี้ ส่งผลให้เกิดความผันผวนต่อตลาดการเงินโลก อย่างไรก็ตาม กองทุนผสม K WealthPLUS Series ที่มีการกระจายการลงทุนทั่วโลกถือว่ามีผลการดำเนินงานที่ดี


ภาพที่ 1 ผลการดำเนินงานกองทุน K WealthPLUS Series ตั้งแต่ต้นปี 2024



จากกราฟในภาพที่ 1 จะเห็นได้ว่าผลการดำเนินงานของกองทุน K WealthPLUS ตั้งแต่ต้นปี (YTD ณ วันที่ 19 ธ.ค. 24) ยังสร้างผลตอบแทนได้ดี นำโดย K-WPULTIMATE (+7.5%), KWPSPEEDUP (+7.7%), K-WPSPARK (+6.09%), K-WPBALANCED (+6.07%) และ K-WPLIGHT (+3.2%) โดยได้อานิสงส์จากการที่กองทุนมีสัดส่วนการลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ ค่อนข้างมากและมีความหลากหลายไม่ได้กระจุกอยู่แค่ในหุ้นเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว ซึ่งหลังการเลือกตั้งสหรัฐฯ ตลาดหุ้นไม่ว่าจะเป็น S&P500, Dow Jones หรือ Nasdaq ต่างทยอยทำจุดสูงสุดใหม่ (All Time High) แต่ในระหว่างทางก็ต้องยอมรับว่ามีความผันผวนบ้างตามตลาดโลกรวมถึงผลกระทบจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าอย่างรวดเร็วในไตรมาส 3/2024 เนื่องจากสัดส่วนในหุ้นต่างประเทศที่ไม่มีการป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน


ผลตอบแทนที่กลับมาได้...ผู้จัดการกองทุนมีการปรับพอร์ตอย่างไรบ้าง

ในไตรมาสที่ 4/2024 หลังจากที่ตลาดหุ้นโลกมีความผันผวนจากปัจจัยต่างๆ ทั้งความไม่แน่นอนของตัวเลขเศรษฐกิจรวมถึงความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ที่ปะทุขึ้นมาเป็นระยะ ส่งผลให้ผู้จัดการกองทุนต้องคอยเฝ้าติดตามสถาณการณ์อย่างใกล้ชิดในทั่วทุกมุมโลกเพื่อนำมาพิจารณาในการ

ภาพที่ 2 สินทรัพย์ที่กองทุน K WealthPLUS ลงทุน



ผู้จัดการกองทุน K WealthPLUS มีการปรับพอร์ตในไตรมาส 4/2024 ดังนี้ (ภาพที่ 2)

1. ปรับลดสัดส่วนหุ้นยุโรป (กองทุน JPM Europe Dynamic I Acc) ที่ยังเผชิญกับแรงกดดันในระยะสั้นจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

2. เพิ่มสัดส่วนหุ้นไทยที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากการลงทุนของกองทุนวายุภักษ์

3. เพิ่มหุ้นจีนเข้ามาในพอร์ตทั้งกองทุน JPM China และ JPM China A share หลังจากรัฐบาลจีนประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจไม่ว่าจะเป็นการลดดอกเบี้ยและการผ่อนคลายกฎระเบียบในภาคอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงอัดฉีดเงินทุนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจเพื่อกระตุ้นการบริโภคและการลงทุน

4. และล่าสุดได้มีการเพิ่มกองทุน JPM US All Share เพื่อให้มีการกระจายไปยังหุ้นขนาดกลางและเล็กมากขึ้นเพื่อที่จะได้ประโยชน์จากการลดดอกเบี้ยของ Fed รวมถึง Valuation ในกลุ่มนี้ค่อนข้างน่าสนใจ จากเดิมที่กองทุนมีการกระจายไปยังทั้งหุ้น Growth และ Value และสามารถสร้างผลตอบแทนได้อย่างโดดเด่นมาแล้ว


โอกาสลงทุนยังคงเปิดกว้างในปี 2025

ในปี 2025 นักลงทุนทั่วโลกเตรียมตัวที่จะเผชิญจากแรงกดดันจาก Trade War ที่จะปะทุขึ้นมาใหม่และคาดว่าจะรุนแรงมากกว่าเดิมที่จะเกิดขึ้นในยุคของ ว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์หรือที่เรียกกันว่า “Trump 2.0” หลังชนะการเลือกตั้งในวันที่ 5 พ.ย. 2024 ที่ผ่านมา แต่หากพิจารณาอย่างละเอียดจะเห็นถึงโอกาสในการลงทุนที่จะเข้ามานี้ ซึ่งจากนโยบายของทรัมป์เองที่ส่งผลดีต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการปรับลดภาษีบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลที่จะสนับสนุนภาคการบริโภค รวมถึงหนุนกำไรต่อหุ้นบริษัทจดทะเบียนสหรัฐฯ และช่วยส่งเสริมทั้งการขยายกิจการ หรือการจ้างงานมากขึ้น


นอกจากนโยบายของรัฐบาลที่สนับสนุนการลงทุนแล้ว นโยบายการเงินก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่ยังคงมีความสำคัญอย่างต่อเนื่อง จากการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2024 ที่มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% มาอยู่ที่ระดับ 4.25-4.50% และยังคงผ่อนคลายนโยบายการเงินอย่างต่อเนื่อง โดยหากดูจาก Dot-Plot คาดว่ามีการลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในปี 2025 (ภาพที่ 3) ถึงแม้ว่าจะน้อยกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ 3-4 ครั้งก็ตาม แต่หากเราพิจารณาเพิ่มเติมจะเห็นว่า Fed มองเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่ง โดยมีการปรับเพิ่มประมาณการณ์ GDP ของปี 2024 จากเดิมที่โต 2.0% เป็น 2.5% เลยทีเดียว รวมถึงการที่ดอกเบี้ยยังอยูในระดับที่สูงอยู่ ก็เปรียบเสมือนว่า Fed ยังมีอาวุธไว้ในมือเมื่อเกิดเหตุการณ์จำเป็นให้ลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมอีกด้วย


ภาพที่ 3 รายงานคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยในอนาคต (Dot Plot)



นอกจากสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ แล้วการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่มีผลกระทบต่อผลการดำเนินงานกองทุน K WealthPLUS ด้วยเหมือนกัน เนื่องจากสัดส่วนการลงทุนในหุ้นต่างประเทศนั้นทางกองทุนไม่ได้มีการป้องกันอัตราแลกเปลี่ยนเนื่องจากต้นทุนในการป้องกันความเสี่ยง ในปัจจุบันยังอยุ่ในระดับสูงถึงแม้ว่าจะปรับลดลงมาบ้างแล้วก็ตาม รวมถึงหากมีการลงทุนในระยะยาวแล้วผลตอบแทนที่ได้จะมีความใกล้เคียงกัน


เมื่อเราเห็นบริบทและโอกาสในการลงทุนในปี 2025 แล้ว กองทุน K WealthPLUS Series ยังเป็นกองทุนหนึ่งที่ยังคงน่าสนใจและสามารถลงทุนได้ตลอด ยิ่งเมื่อตลาดโลกเกิดความผันผวนก็ยังมีผู้จัดการกองทุนที่คอยปรับพอร์ตให้ในหลากหลายสินทรัพย์และภูมิภาคอีกด้วย



คำเตือน

Disclaimer “ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน”,

ผู้เขียน

K WEALTHกิตติภพ เรืองอ่อน AISA, AFPT

Back to top