ประเด็นร้อน: หลายปัจจัยลบ กระทบหุ้นไทยร่วงแรง 24.75 จุด

  • ตลาดหุ้นไทยเปิดปีใหม่ 2568 ไร้ปัจจัยบวกสนับสนุน โดยเมื่อวานที่ 9 ม.ค. ปิดลบ 24.75 จุด (-1.78%) ปรับตัวลงมากกว่าภูมิภาคเล็กน้อย และเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่การฟื้นตัวในเดือนกันยายนปีที่แล้ว จากหลายปัจจัยมากระทบ กดดันให้บรรยากาศการซื้อขายเบาบางต่อเนื่องมาตั้งแต่ต้นปี โดยปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยใน 5 วันแรก อยู่ที่ 3.5 หมื่นล้านบาท ลดลง 22% จากปีก่อน สะท้อนนักลงทุนขาดความเชื่อมั่นและยังคงมีความระมัดระวังในการลงทุน

ปัจจัยลบที่กระทบตลาดหุ้นไทย


ปัจจัยภายนอก

  • ความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ หลังทรัมป์เตรียมประกาศภาวะฉุกเฉินทางเศรษฐกิจเพื่อใช้อำนาจตั้งกำแพงภาษี โดยเฉพาะฝั่งเอเชีย ทำให้นักลงทุนทยอยขายหุ้นในตลาดเพื่อลดความเสี่ยง
  • ค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่ารวมถึงอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐที่ปรับตัวสูงขึ้น ตลาดจึงคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯจะลดดอกเบี้ยเหลือเพียง 1 ครั้งในปีนี้และค่าเงินบาทที่อ่อนค่าไปแล้วราว 1% ตั้งแต่ต้นปีกดดันตลาดหุ้นด้วย
  • ราคาน้ำมันโลกปรับตัวลง กระทบหุ้นกลุ่มน้ำมัน รวมถึงกลุ่มที่โดนภาษี Global Minimum Tax ปรับตัวลงแรง เช่นกัน

ปัจจัยภายใน

  • ก.ล.ต.เตรียมปรับปรุงเกณฑ์ Margin loan จนถึง วันที่ 4 ก.พ. 68 คาดว่าจะมีผลกระทบต่อการกู้ยืมสำหรับจองซื้อหุ้น IPO รวมถึง การปล่อยกู้ที่กระจุกหรือมากเกินไปในรายหลักทรัพย์ฯ ซึ่งจะมีความเข้มงวดมากขึ้น ประเด็นดังกล่าวทำให้หุ้นที่มี Margin ในระดับสูงถูกกดดันฉุดความเชื่อมั่นของนักลงทุน ซึ่งขณะนี้มีหุ้นที่มีการวาง Margin มากกว่า 20% ของทุนจดทะเบียนมีประมาณ 23 หลักทรัพย์ และที่มากกว่า 15% มีประมาณ 50 หลักทรัพย์

กองทุนที่เกี่ยวข้อง

  • K-MIDSMALL ( 9 ม.ค.) -3.12%

มุมมองการลงทุน

การที่ ก.ล.ต.ปรับปรุงเกณฑ์ Margin loan ใหม่ ถือเป็นเรื่องที่ดีต่อตลาดหุ้นในระยะยาว เพราะช่วยลดความเสี่ยงต่อการทำกำไรและการเก็งกำไรที่ไม่สมเหตุสมผล และยังช่วยป้องกันความเสี่ยงของธุรกิจไปด้วย อีกทั้งหุ้นหลายตัวที่ปรับลงผลประกอบการยังมีแนวโน้มดี นักลงทุนจึงต้องพิจารณาปัจจัยพื้นฐานของหุ้นที่ลงทุนด้วย


ขณะที่ความเสี่ยงจากสงครามการค้าที่ดูรุนแรงขึ้น ส่งผลกระทบต่อเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยที่อาจลดลงช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ การลงทุนที่มีการกระจายการลงทุนในหลายภูมิภาคและการเลือกลงทุนในหุ้นกลุ่ม Defensive ที่มีความผันผวนต่ำรวมถึงหุ้นที่มีปันผลสูง จะช่วยลดความผันผวนของพอร์ตลงทุนได้


อย่างไรก็ตาม ในระยะข้างหน้ามีปัจจัยหนุนจากความคาดหวังการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียน ไตรมาส 4/67 คาดว่าจะเติบโตกว่าไตรมาสก่อน นอกจากนี้ยังมีหุ้นราคาถูกหลายตัวในตลาด สะท้อนจากหุ้นที่มี PBV <=1 มากถึง 37 บริษัท อาจเป็นจังหวะที่ดีในการทยอยสะสมสำหรับนักลงทุนที่สนใจหุ้นไทย


คำแนะนำกองทุนหุ้นไทย

นักลงทุนปัจจุบัน : ประเมินสัดส่วนการลงทุนในกองทุนหุ้นไทย หากมีสัดส่วนเกิน 20%-30% ของพอร์ต อาจพิจารณาปรับลดความเสี่ยง

นักนักลงทุนใหม่ : อาจพิจารณาเลือกลงทุนในกองทุนที่มีการกระจายความเสี่ยงไปยังหลายประเทศหรือหลายอุตสาหกรรม เพื่อลดผลกระทบจากความผันผวนของตลาดหุ้นไทยโดยตรง


กองทุนแนะนำ

  • กองทุน K-WPBALANCED (ระดับความเสี่ยง 5 จาก 8 ระดับ) กองทุนกระจายการลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ สามารถทยอยสะสมเป็น Core Port ได้ เหมาะกับผู้ที่รับความเสี่ยงได้ต่ำถึงปานกลาง
  • กองทุน K-GHEALTH (ระดับความเสี่ยง 6 จาก 8 ระดับ) กองทุนลงทุนในหุ้นกลุ่มสุขภาพที่มีศักยภาพที่มีทั้งหุ้น Defensive (กลุ่มยา และ ผู้ให้บริการด้านสุขภาพ) และ หุ้น Growth (เทคโนโลยีชีวภาพ และ เทคโนโลยีการแพทย์) สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ในระยะยาว เหมาะกับผู้ที่รับความเสี่ยงได้ค่อนข้างสูง แต่ไม่ต้องการความผันผวนมาก

ขอขอบคุณข้อมูลจาก หลักทรัพย์กสิกรไทย และ กรุงเทพธุรกิจ


คำเตือน

Disclaimer: “ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน”

กองทุน K-WPBALANCED (ระดับความเสี่ยง 5 จาก 8 ระดับ) ป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน วันที่ประกาศ NAV T+2 วันทำการ ระยะเวลารับเงินค่าขายคืน T+6 วันทำการ

กองทุน K-GHEALTH (ระดับความเสี่ยง 6 จาก 8 ระดับ) กองทุนป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนไม่น้อยกว่า 75% วันที่ประกาศ NAV T+2 วันทำการ ระยะเวลารับเงินค่าขายคืน T+4 วันทำการ

ผู้เขียน

K WEALTH กานต์พิชชา แดงพิบูลย์สกุล AFPT

Back to top