-
ราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นราว 2% จากสหรัฐฯคว่ำบาตรน้ำมันจากรัสเซีย โดยคาดการณ์ว่าปริมาณขนส่งน้ำมันภายใต้เป้าหมายคว่ำบาตรอยู่ที่ประมาณ 1.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน (mbd) หรือราว 2% ของ Supply โลก ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบอาจไม่กลับมาเป็นขาขึ้นในระยะยาว เนื่องจากการค้าน้ำมันระหว่างรัสเซียกับจีนและอินเดียไม่ใช้สกุลเงิน USD เป็นหลัก และยังมีทางเลือกซื้อน้ำมันจากตะวันออกกลางที่มีความสามารถในการผลิตกว่า 4 mbd
-
K WEALTH ยังคงมุมมองเป็นกลางต่อการลงทุนในน้ำมัน โดยแนะนำให้พิจารณาลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีความยืดหยุ่นต่อความผันผวน เช่น Healthcare และ Infrastructure
น้ำมันดิบปรับตัวขึ้นหลังจากสหรัฐฯคว่ำบาตรน้ำมันรัสเซีย
ในช่วงวันที่ 10 – 13 มกราคม พ.ศ. 2568 ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ส่งมอบเดือนก.พ. พุ่งขึ้น 1.72 ดอลลาร์ หรือ 2.25% แตะระดับ 78.29 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ประกาศคว่ำบาตรอุตสาหกรรมน้ำมันของรัสเซียเมื่อวันศุกร์ (10 ม.ค.) เพื่อลงโทษรัสเซียที่ใช้ปฏิบัติการพิเศษทางทหารโจมตียูเครน
โดยมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ มุ่งเป้าไปที่บริษัทน้ำมันของรัสเซีย เช่น Gazprom Neft และ Surgutneftegas รวมถึงบริษัทในเครือ, เรือบรรทุกน้ำมันมากกว่า 180 ลำ และเจ้าหน้าที่ด้านพลังงานและผู้บริหารในธุรกิจพลังงานของรัสเซียจำนวนหลายสิบคน โดยคาดการณ์ว่าปริมาณขนส่งน้ำมันภายใต้เป้าหมายคว่ำบาตรอยู่ที่ประมาณ 1.5 mbd หรือราว 2% ของ Supply โลก
ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบอาจจะไม่ได้กลับมาเป็นขาขึ้นในระยะยาว เนื่องจากการค้าน้ำมันดิบระหว่างรัสเซียกับลูกค้ารายใหญ่อย่างจีนและอินเดียไม่ได้ใช้ US Dollar เป็นหลัก รวมถึงยังมีทางเลือกในการซื้อน้ำมันจากกลุ่มตะวันออกกลางที่มี Spare Capacity ไม่ต่ำกว่า 4 mbd
กองทุนที่เกี่ยวข้อง
เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2568 กองทุน Invesco DB Oil มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น 4.25% จากวันก่อนหน้า ตามปัจจัยที่ได้อธิบายไปข้างต้น และเนื่องจากกองทุน K-OIL มีนโยบายการลงทุนในกองทุน Invesco DB Oil เป็นกองทุนหลัก การปรับตัวดังกล่าวอาจส่งผลให้มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) ของกองทุน K-OIL เพิ่มขึ้นตามแนวโน้มเดียวกัน
มุมมองการลงทุน
K WEALTH ยังคงมีมุมมองที่เป็นกลางต่อการลงทุนในน้ำมัน โดยให้คำแนะนำดังนี้
นักลงทุนปัจจุบัน : ประเมินสัดส่วนการลงทุนในกองทุนน้ำมัน หากมีสัดส่วนเกิน 15% ของพอร์ต อาจพิจารณาปรับลดความเสี่ยง
นักนักลงทุนใหม่ : อาจพิจารณาเลือกลงทุนในกองทุนที่มีการกระจายความเสี่ยงไปยังกองทุนประเภทอื่น เช่น Healthcare หรือ Infrastructure
- • ผู้ที่รับความเสี่ยงจากการลงทุนได้
- o แนะนำพิจารณาลงทุนกองทุน K-GHEALTH* (ระดับความเสี่ยง 6 จาก 8 ระดับ) ลงทุนในบริษัท Healthcare ครอบคลุมทั้งกลุ่ม Defensive เช่น Pharmaceutical, Healthcare Services และกลุ่ม Growth เช่น MedTech, Biotechnology
- o แนะนำพิจารณาลงทุนกองทุน K-VIETNAM* (ระดับความเสี่ยง 6 จาก 8 ระดับ) ลงทุนหุ้นเวียดนามที่รับประโยชน์จากการเติบโตของเศรษฐกิจ เช่น บริโภคภายใน การเงิน อุตสาหกรรม
- o แนะนำพิจารณาลงทุนกองทุน K-GINFRA* (ระดับความเสี่ยง 6 จาก 8 ระดับ) ซึ่งลงในบริษัทด้านโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลก เช่น ท่อก๊าซ โรงไฟฟ้า สนามบิน
- o แนะนำพิจารณาลงทุนกองทุน K-GOLD** (ระดับความเสี่ยง 8 จาก 8 ระดับ) เพื่อรับกับความผันผวนจากสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน
- • สำหรับนักลงทุนที่มีความกังวลต่อความผันผวนของตลาดหุ้น หรือกังวลกับความเสี่ยงในการลงทุน
- o หากรับความเสี่ยงได้บ้าง หรือเป็นเงินลงทุนที่ถือได้อย่างน้อย 1 ปี ขอแนะนำกองทุนตราสารหนี้ ได้แก่
- กองทุน K-FIXED-A** (ระดับความเสี่ยง 4 จาก 8 ระดับ) ในกรณีที่ไม่ต้องการรับความเสี่ยงจากการลงทุนต่างประเทศ
- กองทุน K-FIXEDPLUS** (ระดับความเสี่ยง 4 จาก 8 ระดับ) ในกรณีที่ต้องการเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนจากการลงทุนต่างประเทศหรือรับความเสี่ยงจากการลงทุนต่างประเทศได้
- • หากรับความเสี่ยงได้ต่ำ หรือต้องการหลีกเลี่ยงทางเลือกที่มีความผันผวน หรือต้องการพักเงินสั้นๆ เพื่อรอจังหวะเข้าลงทุนอีกครั้ง แนะนำ
- o กองทุน K-SF-A** (ระดับความเสี่ยง 4 จาก 8 ระดับ) ซึ่งเหมาะกับการลงทุน 1-3 เดือน
- o กองทุน K-SFPLUS** (ระดับความเสี่ยง 4 จาก 8 ระดับ) เหมาะกับการลงทุน 3-6 เดือน
ขอขอบคุณข้อมูลจาก Bloomberg