ลดภาษีต้นปี เริ่มก่อน ได้เปรียบ! แถมโปรปังไม่ต้องรอปีหน้า แนะนำการลงทุนในกองทุนลดหย่อนภาษีตั้งแต่ต้นปีเพื่อรับโปรโมชันและผลตอบแทนที่ดีกว่า การลงทุนเร็วช่วยให้ได้เงินคืนเร็วและเติบโตเร็ว นอกจากนี้ยังมีโปรโมชันพิเศษสำหรับการลงทุนในช่วงต้นปี

ลดภาษีต้นปี เริ่มก่อน ได้เปรียบ! แถมโปรปังไม่ต้องรอปีหน้า

ลดภาษีต้นปี เริ่มก่อน ได้เปรียบ! แถมโปรปังไม่ต้องรอปีหน้า แนะนำการลงทุนในกองทุนลดหย่อนภาษีตั้งแต่ต้นปีเพื่อรับโปรโมชันและผลตอบแทนที่ดีกว่า การลงทุนเร็วช่วยให้ได้เงินคืนเร็วและเติบโตเร็ว นอกจากนี้ยังมีโปรโมชันพิเศษสำหรับการลงทุนในช่วงต้นปี

  • K WEALTH แนะนำให้ประเมินค่าลดหย่อนภาษีตั้งแต่ต้นปี เพื่อให้รู้กรอบที่ควรลงทุนในปีนี้ และเริ่มต้นลงทุนได้ทันทีเพื่อให้ได้เงินคืนเร็วขึ้น (สำหรับกองทุน ThaiESG) เพิ่มโอกาสที่เงินลงทุนจะเติบโตเร็วกว่าเริ่มลงทุนปลายปี เลือกลงทุนให้ได้ประโยชน์สูงสุด ไม่ว่าจะเป็นการนำเงินโบนัสที่เพิ่งได้มาลงทุนภายใน ก.พ. เพื่อให้ได้โปรโมชัน Fund Back สูงสุด และกรอบส่วนที่เหลือ ทยอยลงทุนแบบ DCA เพื่อเฉลี่ยต้นทุน
  • โปรโมชันกองทุนลดหย่อนภาษีต้นปีของบลจ. กสิกรไทย เพียงลงทุนกองทุน ThaiESG/RMF ภายใน ก.พ. 68 ทุก 50,000 บาท รอเพียง 2 เดือน (ภายใน เม.ย. 68) ก็ได้รับหน่วยลงทุน K-FIXEDPLUS-A มูลค่า 100 บาท สูงสุด 1,600 บาท (หากลงทุน 800,000 บาท)

หมดยุคไปแล้วกับการรอลดหย่อนภาษีปลายปีแบบเดิมๆ ปัจจุบันถึงยุคที่ต้องลดหย่อนภาษีแต่เนิ่นๆ ตั้งแต่ต้นปี วันนี้ K WEALTH จะมาบอก 4 ข้อดี ของการลงทุนกองทุนลดหย่อนภาษีตั้งแต่ต้นปี


ลงทุนเร็ว ได้เงินคืนเร็ว

กองทุนลดหย่อนภาษียอดฮิต คงไม่พ้นกองทุน ThaiESG กองทุนน้องใหม่ มีเงื่อนไขถือหน่วยลงทุนเพียง 5 ปีเต็ม นับแบบวันชนวัน ต่างจากกองทุน LTF ในอดีตที่นับแบบปฏิทิน ดังนั้นหากยิ่งลงทุนในกองทุน ThaiESG ได้เร็ว เงินส่วนนี้ก็จะครบเงื่อนไขการขายคืนที่เร็วขึ้นด้วยเช่นกัน ยกตัวอย่าง


  • เงินที่ลงทุนในวันที่ 27 ม.ค. 68 จะครบเงื่อนไข 5 ปีเต็ม ในวันจันทร์ที่ 28 ม.ค. 73 หากขายคืนในวันดังกล่าว นักลงทุนจะได้รับเงินค่าขายคืนในอีก 2 วันทำการ (T+2) [ขึ้นอยู่กับแต่ละกองทุน แต่ละ บลจ.] หรือตรงกับวันพุธที่ 30 ม.ค. 73 รวมระยะเวลาที่ได้เงินคืนหลังจากลงทุนไปทั้งสิ้น 5 ปี 3 วัน
  • หากรอลงทุนช่วงปลายปี เช่น เริ่มลงทุนวันที่ 30 ธ.ค. 68 เงินที่ลงทุนจะครบเงื่อนไข 5 ปีเต็ม ในวันที่ 31 ธ.ค. 73 แต่เนื่องจากตรงกับวันหยุด จึงต้องรอขายคืนในวันทำการถัดไปซึ่งคือวันพฤหัสบดีที่ 2 ม.ค. 74 และเมื่อขายคืนแล้ว จะได้รับเงินค่าขายคืนในอีก 2 วันทำการ (T+2) [ขึ้นอยู่กับแต่ละกองทุน แต่ละ บลจ.] แต่เนื่องจากวันที่ 4 ม.ค. 74 เป็นช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ จึงจะได้รับเงินวันจันทร์ที่ 6 ม.ค. 74 รวมระยะเวลาที่ได้เงินคืนหลังจากลงทุนไปทั้งสิ้น 5 ปี 7 วัน

เริ่มลงทุนเร็ว เงินก็เริ่มโตเร็วตาม

“ออมก่อน รวยกว่า” คำฮิตติดหูของหลายคน ซึ่งรวมถึงการลงทุนกองทุนลดหย่อนภาษีด้วย ที่ยิ่งลงทุนเร็วเงินก็เติบโตเร็วตาม ตัวอย่าง การลงทุนด้วยเงินลงทุน 100,000 บาท


  • กองทุน KWPULTIRMF กองทุนรวมผสม ที่ลงทุนในตราสารหนี้บางส่วน โดยเน้นลงทุนในหุ้นหลากหลายทั่วโลก แบ่งเป็น 2 กรณี คือ เริ่มต้นลงทุนตั้งแต่ต้นปี (วันที่ 31 ม.ค. 67) กับลงทุนปลายปี (วันที่ 30 ธ.ค. 67) การลงทุนช่วงต้นปี 67 ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน (16 ม.ค. 68) เงินโตขึ้นเป็น 106,187 บาท ซึ่งโตมากกว่าการลงทุนช่วงปลายปี 67 ที่ปัจจุบันเงินมีมูลค่าเพียง 101,737 บาท
  • กองทุน K-TNZ-ThaiESG กองทุนรวมหุ้น ที่ลงทุนหุ้นไทยในดัชนี SET100 เน้นบริษัทที่มีเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์ (Target Net Zero) ที่การลงทุนตั้งแต่ช่วงต้นปี 67 ผ่านมาถึงปัจจุบันมูลค่ากลายเป็น 105,645 บาท ซึ่งสูงกว่าเงินที่ลงทุนไปเมื่อปลายปี 67 ที่ปัจจุบันขาดทุนอยู่

ลงทุนต้นปี ไม่ต้องรอรับโปรโมชันข้ามปี

โปรโมชันกองทุนลดหย่อนภาษีโดยทั่วไปของ บลจ.ต่างๆ มักนับยอดการลงทุนจนถึงสิ้นปี และมี Fund Back ตามโปรโมชันให้กับผู้ลงทุนในช่วงเดือน ก.พ. - มิ.ย. ของปีถัดไป (เช่น ก.พ. - มิ.ย. 69) แต่สำหรับการลงทุนกองทุนลดหย่อนภาษีในช่วง ม.ค. - ก.พ. 68 นี้ หากลงทุนตามเงื่อนไขโปรโมชันของ บลจ.กสิกรไทย จะได้รับ Fund Back ภายใน เม.ย. 68 ซึ่งเป็นการได้รับ Fund Back เร็วกว่าโปรโมชันทั่วไป 10-14 เดือน


โดยการลงทุนกองทุน RMF หรือกองทุน ThaiESG ของ บลจ.กสิกรไทย ระหว่างวันที่ 2 ม.ค. – 28 ก.พ. 68 ทุกยอดการลงทุน 50,000 บาท จะได้รับหน่วยลงทุน K-FIXEDPLUS-A มูลค่า 100 บาท สูงสุด 1,600 บาท (เมื่อลงทุนรวม 800,000 บาท) ภายในเดือน เม.ย. 68 อีกทั้งกองทุนลดหย่อนภาษีที่ร่วมโปรโมชัน มีตั้งแต่กองทุนตราสารหนี้ กองทุนผสม ไปถึงกองทุนหุ้น ไม่จำกัดแต่เพียงกองทุนผสมหรือกองทุนหุ้น ซึ่งต่างจากโปรโมโมชันของ บลจ.อื่น ทั่วไปด้วย


สำหรับคนที่อยากลดหย่อนภาษีตั้งแต่ต้นปี แต่ยังไม่แน่ใจว่าควรลงทุนกองทุนไหนดี K WEALTH ขอแนะนำให้เลือกลงทุนใน


  • กองทุนผสม ที่มีการลงทุนทั้งตราสารหนี้และหุ้น สามารถถือลงทุนระยะยาวเป็นเงินลงทุนหลักได้โดยไม่จำเป็นต้องติดตามสถานการณ์ตลาดบ่อยนัก เพื่อโอกาสสร้างผลตอบแทนที่สม่ำเสมอในระยะยาว เช่น
    • กองทุน KWPULTIRMF มีการกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลายทั่วโลก ลงทุนในหุ้นประมาณ 85% และตราสารหนี้ประมาณ 15% ความเสี่ยงกองทุนระดับ 6 ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน ณ 16 ม.ค. 68 ผลการดำเนินงานย้อนหลัง 1 ปี อยู่ที่ 7.09%
    • กองทุน K-BL30-ThaiESG มีการกระจายลงทุนในหุ้นเพื่อความยั่งยืน 30% ตราสารหนี้เพื่อความยั่งยืน 50% และตราสารหนี้อื่นอีก 20% ความเสี่ยงกองทุนระดับ 5 ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน 100%ของมูลค่าที่ลงทุนต่างประเทศ (ณ 30 ธ.ค. 67 ยังไม่มีการลงทุนต่างประเทศ) ณ 16 ม.ค. 68 ผลการดำเนินงานย้อนหลังนับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนอยู่ที่ -1.82% (กองทุนจดทะเบียนเมื่อ 4 ธ.ค. 67)

  • กองทุนตราสารหนี้ ที่มีความเสี่ยงค่อนข้างต่ำ หากถือได้ไม่น้อยกว่าอายุเฉลี่ยตราสารหนี้ที่ลงทุน มักจะไม่ค่อยเห็นผลตอบแทนที่ติดลบ เป็นทางเลือกพักเงินระยะสั้นถึงระยะกลางเพื่อรอสับเปลี่ยนเงินไปลงทุนในกองทุนหุ้นอีกครั้งเมื่อมองเห็นโอกาสการลงทุน เช่น
    • กองทุน KSFRMF ลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐและภาคเอกชน โดยจะคงอายุเฉลี่ยตราสาร (Portfolio Duration) ของกองทุนไม่เกิน 1 ปี (ณ 30 ธ.ค. 67 อายุเฉลี่ยของตราสารหนี้อยู่ที่ 9.6 เดือน) ไม่มีการลงทุนต่างประเทศ ความเสี่ยงกองทุนระดับ 4 ณ 16 ม.ค. 68 ผลการดำเนินงานย้อนหลัง 1 ปี อยู่ที่ 2.55%
    • กองทุน K-ESGSI-ThaiESG เน้นในตราสารหนี้ภาครัฐเพื่อความยั่งยืน (ณ 30 ธ.ค. 67 อายุเฉลี่ยของตราสารหนี้อยู่ที่ 9 ปี 1.32 เดือน) ลงทุนต่างประเทศไม่เกิน 20% ของมูลค่ากองทุน ความเสี่ยงกองทุนระดับ 3 ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน 100% ของมูลค่าที่ลงทุนต่างประเทศ ณ 16 ม.ค. 68 ผลการดำเนินงานย้อนหลัง 6 เดือน อยู่ที่ 3.49% (กองทุนจดทะเทียนเมื่อ 3 ก.ค. 67)

เฉลี่ยต้นทุน ด้วยการลงทุนแบบ DCA ตั้งแต่ต้นปี

การตั้งแผนการลงทุนอัตโนมัติ เพื่อลงทุนกองทุนลดหย่อนภาษีเป็นประจำทุกเดือน บนแอป K-My Funds เช่น ทุกวันสิ้นเดือนที่เงินเดือนออก นอกจากเป็นการสร้างวินัยการออมที่สามารถลดหย่อนภาษีได้แล้ว ยังเป็นการเฉลี่ยต้นทุนการลงทุน ช่วยลดความเสี่ยงที่จะลงทุนที่ต้นทุนสูงจากการลงทุนเพียงครั้งเดียวตอนปลายปี


ตัวอย่าง การลงทุนกองทุน K-TNZ-ThaiESG ครั้งละ 10,000 บาท ทุกวันทำการสุดท้ายของเดือน ทุกเดือนในปี 2567 พบว่า


  • การลงทุนสิ้นเดือน ม.ค. 67 จะลงทุนที่ต้นทุน 9.5564 บาทต่อหน่วย ได้รับหน่วยลงทุน 1,046.42 หน่วย
  • ส่วนการลงทุนการลงทุนสิ้นเดือน ธ.ค. 67 จะลงทุนที่ต้นทุน 10.3950 บาทต่อหน่วย ได้รับหน่วยลงทุน 962.00 หน่วย
  • รวมการลงทุนทั้งหมด 12 ครั้ง จะได้รับหน่วยลงทุนจำนวน 12,082.58 หน่วย มูลค่าเงินลงทุน ณ สิ้น ธ.ค. 67 อยู่ที่ 125,598.41 บาท (= 12,082.5792 หน่วย x 10.3950 บาทต่อหน่วย) สูงกว่าเงินลงทุนทั้งหมดที่ลงทุนไปหรือการลงทุนเพียงครั้งเดียวตอนเดือน ธ.ค. 67 ในอัตรา 4.67% และคิดเป็นต้นทุนเฉลี่ย 9.9317 บาทต่อหน่วย (= 120,000 บาท ÷ 12,082.5792 หน่วย)

ลงทุนลดหย่อนภาษีตั้งแต่ต้นปี กับทางเลือกดีๆ ของ บลจ.กสิกรไทย ไม่ว่าจะเป็นผลตอบแทนดี โปรโมชันดี รวมถึงโมเดลการลงทุนดี ที่พัฒนาร่วมกับ บลจ.ชั้นนำระดับโลกอย่าง J.P. Morgan Asset Management (JPMAM) ช่วยให้เงินที่ลงทุนไป ไม่ใช่แค่ลดหย่อนภาษีได้เหมือนการลงทุนกับ บลจ.ทั่วไป แต่ยังมีโอกาสที่เงินจะเติบโตไปได้ในระยะยาวไปกับ บลจ.ชั้นนำระดับโลก ในระหว่างที่ต้องถือหน่วยลงทุนตามเงื่อนไขกรมสรรพากรด้วย


หมายเหตุ:


  • กองทุน ThaiESG และกองทุน RMF ต้องลงทุนและถือหน่วยลงทุน ตามเงื่อนไขของกรมสรรพากร ทั้งนี้หากลงทุนครบตามเงื่อนไขแล้วและต้องการขายคืน “ระยะเวลาการรับเงินค่าขายคืน” จะแตกต่างกันในแต่ละกองทุน อธิบายง่ายๆ คือ ถ้ากองทุนมีระยะเวลาการรับเงินค่าขายคืน T+5 หมายถึง จะได้รับเงินค่าขายคืน 5 วันทำการถัดจากวันที่ทำรายการ เช่น ขายคืนวันจันทร์ จะได้รับเงินค่าขายคืนวันจันทร์ของสัปดาห์ถัดไป (กรณีไม่มีวันหยุดอื่น นอกจากเสาร์-อาทิตย์) รายละเอียดของระยะเวลาการรับเงินค่าขายคืนของกองทุนลดหย่อนภาษีที่ได้มีการระบุถึงในบทความนี้ เป็นดังนี้
    • KWPULTIRMF: T+5
    • K-BL30-ThaiESG, K-ESGSI-ThaiESG: T+2
    • KSFRMF: T+1

คำเตือน

Disclaimer: “ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน”, “ทำความเข้าเงื่อนไขการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีและผลกระทบหากทำผิดเงื่อนไขก่อนตัดสินใจลงทุน”

ผู้เขียน

K WEALTHราชันย์ ตันติจินดา CFP®

Back to top