เมื่อคืนที่ผ่านมาดัชนี Nasdaq ปรับตัวลง 3.07% หลังจากมีการเปิดตัว DeepSeek ซึ่งมีจุดเด่นด้านต้นทุนที่ต่ำ พัฒนาโดยใช้วิธี Mixture of Experts และมีการเปิดเป็น Open Source ทำให้นักพัฒนาอื่นสามารถนำโมเดลไปพัฒนาต่อยอดได้ จึงใช้เงินลงทุน เวลา และชิปที่มีประสิทธ

ประเด็นร้อน: DeepSeek บุกถล่มหุ้นเทคฯ แต่ทำไม Meta บวกสวน?

เมื่อคืนที่ผ่านมาดัชนี Nasdaq ปรับตัวลง 3.07% หลังจากมีการเปิดตัว DeepSeek ซึ่งมีจุดเด่นด้านต้นทุนที่ต่ำ พัฒนาโดยใช้วิธี Mixture of Experts และมีการเปิดเป็น Open Source ทำให้นักพัฒนาอื่นสามารถนำโมเดลไปพัฒนาต่อยอดได้ จึงใช้เงินลงทุน เวลา และชิปที่มีประสิทธ

  • เมื่อคืนที่ผ่านมาดัชนี Nasdaq ปรับตัวลง 3.07% หลังจากมีการเปิดตัว DeepSeek ที่พัฒนาโดยใช้วิธี Mixture of Experts และมีการเปิดเป็น Open Source ทำให้นักพัฒนาอื่นสามารถนำโมเดลไปพัฒนาต่อยอดได้ จึงมีจุดเด่นด้านการใช้เงินลงทุน เวลาในการพัฒนา และพลังงานที่น้อยกว่าโมเดล AI จากฝั่งสหรัฐฯ
  • K WEALTH มีมุมมอง Neutral ต่อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี โดยในระยะสั้นถึงกลาง มี Upside ค่อนข้างจำกัด และความผันผวนมีโอกาสเพิ่มขึ้น หลังราคาปรับตัวขึ้นจากข่าวการพัฒนา AI จนระดับมูลค่าค่อนข้างสูง อีกทั้งยังมีแรงกดดันเพิ่มจากการเปิดตัว DeepSeek และคาดว่านักลงทุนจะหันไปติดตามผลประกอบการและประมาณการผลประกอบการในอนาคต โดยเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนา AI อย่างใกล้ชิด

DeepSeek ถล่มหุ้นเทคฯ ร่วงยกแผง Nasdaq ร่วงกว่า 3%

หลังจากมีการเปิดตัว DeepSeek โมเดล AI สัญชาติจีน ซึ่งสร้างคำถามและความกังวลต่อเม็ดเงินลงทุน AI ในช่วงเวลาต่อจากนี้ กดดันดัชนีฟิวเจอร์สตลาดหุ้นสหรัฐฯ ให้ปรับตัวลงไปเมื่อวานนี้ (ประเด็นร้อน: Deepseek AI จากจีน เปิดศึกเดือด ChatGPT: คลิกที่นี่) และส่งผลต่อเนื่องให้เมื่อคืนที่ผ่านมาดัชนี Nasdaq ปรับตัวลง 3.07% รวมถึงกองทุน Baillie Gifford Positive Change ที่เป็นกองทุนหลักของกองทุน K-CHANGE-A(A)* ซึ่งมีหุ้นเกี่ยวกับชิป เช่น TSMC, ASML ให้ปรับตัวลง 3.21%


โดย DeepSeek ได้รับความนิยมอย่างมากและกลายเป็นแอพที่ถูกดาวน์โหลดมากที่สุดใน Apple App Store ของสหรัฐฯ ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา นำหน้า ChatGPT


DeepSeek มีจุดเด่นด้านต้นทุนที่ต่ำ ส่งผลให้เก็บค่าบริการต่ำกว่า AI จากฝั่งสหรัฐฯ โดยเฉพาะผู้นำอย่าง ChatGPT โดย DeepSeek ใช้วิธี Mixture of Experts ในการประมวลผลคำตอบ นั่นคือ เมื่อมีคำถามเข้ามา โมเดลจะเลือกเปิดโหมดผู้เชี่ยวชาญให้ตรงกับคำถามที่ส่งเข้ามา และปิดโหมดผู้เชี่ยวชาญอื่น


อีกทั้งยังมีการเปิดเป็น Open Source ทำให้นักพัฒนาอื่นสามารถนำโมเดลไปพัฒนาต่อยอดเพิ่มประสิทธิภาพได้ง่ายและเร็วกว่าโมเดล AI จากฝั่งสหรัฐฯ


จึงทำให้การพัฒนาใช้เวลาเพียง 55 วัน และงบลงทุนอีก 5.58 ล้านดอลลาร์ ต่ำกว่า GPT-4 ที่ใช้สูงถึง 100 ล้านดอลลาร์ แถมยังใช้แค่ชิป H800 ของ NVIDIA ที่มีประสิทธิภาพต่ำกว่าชิป H100 ที่บริษัทเทคสหรัฐฯ นิยมใช้ในการพัฒนาโมเดล AI


ทำไม? หุ้น Meta บวกสวนทางหุ้นเทคอื่น

ท่ามกลางการปรับตัวลงของหุ้นเทคโนโลยีและชิปสหรัฐฯ หุ้น Meta บริษัทโซเชียลและผู้พัฒนาโมเดล AI ที่ชื่อว่า Llama กลับบวกสวนขึ้นมาปิดตลาดที่ 1.91% เนื่องจาก Meta ไม่ได้มีรายได้หลักจากการจำหน่ายชิปหรือค่าสมาชิก AI เพียงแต่ใช้โมเดล AI ในการช่วยพัฒนาประสิทธิภาพการโฆษณาบนแพลตฟอร์ม


นอกจากนี้โมเดล Llama เปิดเป็น Open Source เช่นกัน และยังมีรายงานว่า DeepSeek ได้พัฒนาโมเดล AI โดยใช้พื้นฐานจากโมเดล Llama


มุมมองการลงทุน

ราคาหุ้นเทคโนโลยีและชิปต่างรับข่าวความกังวลไปบางส่วนแล้ว อย่างไรก็ตามความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นสหรัฐฯ เมื่อคืนที่ผ่านมา นับเป็นสัญญาณที่ชัดเจนแล้วว่านักลงทุนจะมีความกังวลและความคาดหวังต่องบลงทุนของหุ้นกลุ่ม Hyperscalers มากยิ่งขึ้น


โดย K WEALTH ยังมีมุมมอง Neutral ต่อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี โดยหุ้นกลุ่มนี้ยังมีการเติบโตในระยะยาวที่โดดเด่นกว่าหุ้นกลุ่มอื่น พร้อมรับประโยชน์จาก AI ที่มีการสนับสนุนอย่างชัดเจนจากทิศทางนโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์


อย่างไรก็ตามในระยะสั้นถึงกลาง มี Upside ค่อนข้างจำกัด ความผันผวนมีโอกาสเพิ่มขึ้น หลังราคาปรับตัวขึ้นมาตลอดปีที่ผ่านมารับกระแส AI จนระดับมูลค่าค่อนข้างสูง อีกทั้งยังมีแรงกดดันเพิ่มจากการเปิดตัว DeepSeek โดยคาดว่านักลงทุนจะหันไปติดตามผลประกอบการและประมาณการผลประกอบการในอนาคต โดยเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนา AI อย่างใกล้ชิด


ขณะที่หุ้นสหรัฐฯ แนะนำให้ทยอยสะสมกองทุนที่มีหุ้นที่ได้ประโยชน์จากนโยบายการเมืองของประธานาธิบดีทรัมป์ ทั้งการส่งเสริมอุตสาหกรรมในประเทศ การลดการกำกับดูแล ผ่านกองทุน K-USA* หรือ K-GINFRA* มากกว่านั้นกองทุนเหล่านี้มีสัดส่วนหุ้นที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีและชิปในสัดส่วนที่ต่ำกว่าดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯ เช่น S&P500, Nasdaq100 และ Nasdaq Composite


จึงมีคำแนะนำสำหรับกองทุนที่มีสัดส่วนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี เช่น K-GTECH* มีดังนี้

ผู้ที่ถือกองทุนที่มีสัดส่วนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี แนะนำถือลงทุนต่อ และติดตามสถานการณ์ในช่วงเวลาต่อจากนี้


ผู้ที่ยังไม่ถือกองทุนที่มีสัดส่วนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี แนะนำรอจังหวะ หรือลงทุนกองทุนแนะนำอื่น


คำแนะนำสำหรับกองทุนหุ้นสหรัฐฯ ดังนี้

ผู้ที่ถือกองทุนที่มีสัดส่วนหุ้นสหรัฐฯ แนะนำถือลงทุนต่อ ทยอยสะสมเพิ่ม


ผู้ที่ถือกองทุนที่ไม่มีสัดส่วนหุ้นสหรัฐฯ แนะนำทยอยสะสม


โดยมีคำแนะนำในกองทุนแนะนำ มีดังนี้

  • ผู้ที่รับความเสี่ยงจากการลงทุนได้
    • แนะนำพิจารณาลงทุนกองทุน K-GHEALTH* (ระดับความเสี่ยง 6 จาก 8 ระดับ) ลงทุนในบริษัท Healthcare ครอบคลุมทั้งกลุ่ม Defensive เช่น Pharmaceutical, Healthcare Services และกลุ่ม Growth เช่น Medtech, Biotechnology
    • แนะนำพิจารณาลงทุนกองทุน K-USA* (ระดับความเสี่ยง 6 จาก 8 ระดับ) ลงทุนในบริษัทที่มีศักยภาพในตลาดหุ้นสหรัฐฯ พร้อมรับทุกโอกาสการเติบโตของเศรษฐกิจและธุรกิจสหรัฐฯ
    • แนะนำพิจารณาลงทุนกองทุน K-VIETNAM* (ระดับความเสี่ยง 6 จาก 8 ระดับ) ลงทุนหุ้นเวียดนามที่รับประโยชน์จากการเติบโตของเศรษฐกิจ เช่น บริโภคภายใน การเงิน อุตสาหกรรม
    • แนะนำพิจารณาลงทุนกองทุน K-GINFRA* (ระดับความเสี่ยง 6 จาก 8 ระดับ) ซึ่งลงในบริษัทด้านโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลก เช่น ท่อก๊าซ โรงไฟฟ้า สนามบิน
    • แนะนำพิจารณาลงทุนกองทุน K-GOLD** (ระดับความเสี่ยง 8 จาก 8 ระดับ) เพื่อรับกับความผันผวนจากสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน
  • สำหรับนักลงทุนที่มีความกังวลต่อความผันผวนของตลาดหุ้น หรือกังวลกับความเสี่ยงในการลงทุน
    • หากรับความเสี่ยงได้บ้าง หรือเป็นเงินลงทุนที่ถือได้อย่างน้อย 1 ปี ขอแนะนำกองทุนตราสารหนี้ ได้แก่
      • กองทุน K-FIXED-A** (ระดับความเสี่ยง 4 จาก 8 ระดับ) ในกรณีที่ไม่ต้องการรับความเสี่ยงจากการลงทุนต่างประเทศ
      • กองทุน K-FIXEDPLUS** (ระดับความเสี่ยง 4 จาก 8 ระดับ) ในกรณีที่ต้องการเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนจากการลงทุนต่างประเทศหรือรับความเสี่ยงจากการลงทุนต่างประเทศได้
  • หากรับความเสี่ยงได้ต่ำ หรือต้องการหลีกเลี่ยงทางเลือกที่มีความผันผวน หรือต้องการพักเงินสั้นๆ เพื่อรอจังหวะเข้าลงทุนอีกครั้ง แนะนำ
    • กองทุน K-SF-A** (ระดับความเสี่ยง 4 จาก 8 ระดับ) ซึ่งเหมาะกับการลงทุน 1-3 เดือน
    • กองทุน K-SFPLUS** (ระดับความเสี่ยง 4 จาก 8 ระดับ) เหมาะกับการลงทุน 3-6 เดือน

ขอขอบคุณข้อมูลจาก Bloomberg



คำเตือน

Disclaimer: “ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน”

*กองทุน K-GHEALTH, K-VIETNAM, K-GINFRA, K-USA, K-CHANGE, K-GTECH มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุนหรือป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนบางส่วน

**กองทุน K-FIXED-A, K-FIXEDPLUS, K-SF-A, K-SFPLUS และ K-GOLD มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมด

ผู้เขียน

K WEALTH

Back to top