นักลงทุนน่าจะเคยได้ยินข่าวธนาคารกลางของประเทศต่างๆ จัดประชุมเพื่อกำหนดนโยบายการเงิน เช่น ลดดอกเบี้ย คงดอกเบี้ย หรือใช้มาตรการต่างๆ ให้เหมาะกับสถานการณ์เศรษฐกิจในขณะนั้น แล้วนโยบายการเงิน คืออะไร มีบทบาทอย่างไรต่อระบบเศรษฐกิจ และส่งผลกระทบต่อการลงทุนอย่างไร ติดตามได้ในบทความนี้
นโยบายการเงินคืออะไร
นโยบายการเงิน เป็นเครื่องมือสำคัญที่ธนาคารกลางประเทศต่างๆ ใช้ในการบริหารจัดการเศรษฐกิจผ่านการควบคุมปริมาณเงินและอัตราดอกเบี้ยในระบบ โดยมีเป้าหมายหลักในการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการเงิน ควบคุมอัตราเงินเฟ้อ และส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน
นโยบายมี 2 แบบคือ นโบายการเงิน และนโยบายการคลัง ซึ่งนโยบายการเงินแตกต่างจากนโยบายการคลังที่ดำเนินการโดยรัฐบาล โดยนโยบายการเงินจะเน้นการควบคุมปริมาณเงินและอัตราดอกเบี้ยเพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเงิน ในขณะที่นโยบายการคลังจะใช้เครื่องมือด้านภาษีและการใช้จ่ายของภาครัฐ
ทั้งนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ทำหน้าที่กำหนดและดำเนินนโยบายการเงิน โดยมีคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เป็นผู้พิจารณาตัดสินใจเกี่ยวกับทิศทางนโยบายการเงิน
เป้าหมายและบทบาทของนโยบายการเงิน
ธนาคารกลางในแต่ละประเทศมีเป้าหมายหลักในการดำเนินนโยบายการเงิน ได้แก่
- การควบคุมอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ไม่สูงหรือต่ำจนเกินไป โดยทั่วไปธนาคารกลางมักตั้งเป้าหมายเงินเฟ้อไว้ที่ประมาณ 2% ต่อปี ในส่วนของธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อทั่วไปสำหรับปี 2568 อยู่ในช่วง 1-3%
- การส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจ ผ่านการรักษาสมดุลระหว่างการกระตุ้นการลงทุนและการควบคุมเสถียรภาพทางการเงิน
- การรักษาเสถียรภาพของค่าเงินและระบบการเงิน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในระบบเศรษฐกิจของประเทศไทย
ประเภทของนโยบายการเงิน
นโยบายการเงินมี 2 ประเภท ได้แก่
- นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย (Expansionary Monetary Policy)
นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายมักถูกนำมาใช้ในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัวหรือเข้าสู่ภาวะถดถอย โดยมีมาตรการสำคัญ ได้แก่
- การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อลดต้นทุนการกู้ยืมและกระตุ้นการลงทุน
- การดำเนินมาตรการ QE (Quantitative Easing) หรือการเข้าซื้อสินทรัพย์ทางการเงินในตลาด เพื่อเพิ่มสภาพคล่อง
- การผ่อนคลายเงื่อนไขการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์
ตัวอย่างเช่น ในช่วงวิกฤตโควิด-19 ธนาคารกลางทั่วโลกได้ใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายอย่างเข้มข้น โดยการลดดอกเบี้ยลงสู่ระดับต่ำเป็นประวัติการณ์และอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบ
- นโยบายการเงินแบบเข้มงวด (Contractionary Monetary Policy)
นโยบายการเงินแบบเข้มงวดมักถูกนำมาใช้เมื่อเศรษฐกิจมีความร้อนแรงหรือเงินเฟ้อสูงเกินไป โดยมีมาตรการสำคัญ ได้แก่
- การขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อชะลอการกู้ยืมและควบคุมเงินเฟ้อ
- การดำเนินมาตรการ QT (Quantitative Tightening) หรือการลดขนาดงบดุลของธนาคารกลาง
- การเพิ่มอัตราเงินสำรองของธนาคารพาณิชย์
เครื่องมือทางการเงินของธนาคารกลาง
ธนาคารกลางมีเครื่องมือหลักในการดำเนินนโยบายการเงิน ดังนี้
- อัตราดอกเบี้ยนโยบาย เป็นเครื่องมือหลักที่ธนาคารกลางใช้ส่งสัญญาณทิศทางนโยบายการเงิน โดยการปรับขึ้นหรือลดอัตราดอกเบี้ยจะส่งผลต่อต้นทุนการกู้ยืมในระบบ
- การซื้อขายพันธบัตรและตราสารหนี้ ธนาคารกลางสามารถเพิ่มหรือลดสภาพคล่องในระบบผ่านการซื้อขายพันธบัตรรัฐบาลและตราสารหนี้อื่นๆ
- การควบคุมอัตราเงินสำรอง การกำหนดสัดส่วนเงินสำรองที่ธนาคารพาณิชย์ต้องดำรงไว้ เพื่อช่วยควบคุมปริมาณเงินในระบบ
- การบริหารอัตราแลกเปลี่ยน การแทรกแซงตลาดเงินตราต่างประเทศเพื่อรักษาเสถียรภาพของค่าเงิน
ผลกระทบของนโยบายการเงินต่อเศรษฐกิจและการลงทุน
สำหรับผลกระทบของนโยบายการเงินมีดังนี้
- ผลกระทบต่อตลาดทุนและการลงทุน
- ตลาดตราสารหนี้ได้รับผลกระทบโดยตรง โดยราคาตราสารหนี้จะเคลื่อนไหวในทิศทางตรงกันข้ามกับอัตราดอกเบี้ย เมื่อดอกเบี้ยลดลง ราคาตราสารหนี้จะสูงขึ้น
- ตลาดหุ้นมักตอบสนองในทิศทางตรงกันข้ามกับอัตราดอกเบี้ย เมื่อดอกเบี้ยลดลง ราคาหุ้นมักปรับตัวขึ้น
- กลุ่มหุ้นได้รับผลกระทบแตกต่างกัน เช่น หุ้นกลุ่มธนาคารมักได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาขึ้น ขณะที่หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์มักได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลง
- ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและค่าครองชีพ
- อัตราดอกเบี้ยส่งผลต่อการตัดสินใจลงทุนของภาคธุรกิจและการบริโภคของประชาชน
- ค่าครองชีพและเงินเฟ้อมีความสัมพันธ์โดยตรงกับนโยบายการเงิน
- การจ้างงานและค่าแรงได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของนโยบายการเงิน
กรณีศึกษานโยบายการเงินในประเทศและต่างประเทศ
- กรณีศึกษาธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed)
ช่วงปี 2020-2024 เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินอย่างรวดเร็ว
- ปี 2020 Fed ใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายอย่างมากเพื่อรับมือกับวิกฤตโควิด-19 โดยลดดอกเบี้ยลงสู่ระดับ 0-0.25%
- ปี 2022-2023 ปรับเปลี่ยนเป็นนโยบายการเงินแบบเข้มงวดเพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อ โดยขึ้นดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องสู่ระดับ 5.25-5.50%
- ปี 2024 เริ่มส่งสัญญาณผ่อนคลายนโยบายการเงิน หลังเงินเฟ้อเริ่มชะลอตัว
- กรณีศึกษานโยบายการเงินของยุโรปและญี่ปุ่น
ธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) มีแนวทางที่แตกต่างกันในช่วงเวลาเดียวกัน
- ECB เน้นการควบคุมเงินเฟ้อเป็นหลัก โดยปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องในช่วงปี 2022-2023
- BOJ ยังคงนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายต่อเนื่องยาวนาน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและแก้ปัญหาเงินฝืด
- นโยบายการเงินของไทย
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ดำเนินนโยบายการเงินแบบค่อยเป็นค่อยไป
- รักษาสมดุลระหว่างการควบคุมเงินเฟ้อและการสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ
- ให้ความสำคัญกับเสถียรภาพระบบการเงินและค่าเงินบาท
- ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอย่างค่อยเป็นค่อยไปในช่วงปี 2023-2024
คำแนะนำสำหรับนักลงทุน
นักลงทุนควรติดตามการเปลี่ยนแปลงของนโยบายการเงิน เพื่อปรับกลยุทธ์การลงทุนดังนี้
ในช่วงนโยบายการเงินผ่อนคลาย
- พิจารณาลงทุนในหุ้นที่มีโอกาสเติบโต เพื่อสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนเพิ่มเติม
- เพิ่มสัดส่วนการลงทุนในกลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน
ในช่วงนโยบายการเงินเข้มงวด
- เน้นการลงทุนในหุ้นที่มีพื้นฐานดีและมีโอกาสจ่ายเงินปันผลสูง
- เพิ่มสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้น
กองทุนแนะนำจาก K WEALTH
เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของนโยบายการเงิน K WEALTH แนะนำกองทุนดังนี้
กองทุนตราสารหนี้ เหมาะกับการลงทุนในช่วงดอกเบี้ยขาลง
- กองทุน K-FIXEDPLUS-A ลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐ ภาคเอกชน และเงินฝากทั้งในประเทศและต่างประเทศ
กองทุนผสม เหมาะกับการลงทุนระยะยาวเป็นพอร์ตหลัก เน้นกระจายความเสี่ยงและรับมือกับความผันผวน
- กองทุน K-WPBALANCED ลงทุนในหุ้น 15-45% และลงทุนในตราสารหนี้ 55-85%
- กองทุน K-WPULTIMARE ลงทุนในหุ้น 70-100% และลงทุนในตราสารหนี้ 0-30%
กองทุนหุ้น เหมาะกับนักลงทุนที่มองหาโอกาสเพิ่มผตอบแทนจากการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีโอกาสเติบโตได้ดี
- กองทุน K-USA-A(A) ลงทุนในหุ้นของบริษัทสหรัฐอเมริกาขนาดใหญ่ที่มีปัจจัยพื้นฐานดี และมีศักยภาพการเติบโตสูง
- กองทุน K-HIT-A(A) ลงทุนในหุ้นทั่วโลก เน้นสร้างพอร์ตการลงทุนให้หลากหลายผ่านกลยุทธ์การคัดเลือก ธีมการลงทุน กลุ่มอุตสาหกรรม และหุ้น
นโยบายการเงินเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการลงทุน การทำความเข้าใจและติดตามการเปลี่ยนแปลงของนโยบายการเงินจะช่วยให้นักลงทุนสามารถปรับกลยุทธ์การลงทุนได้อย่างเหมาะสมกับสถานการณ์ โดยแนะนำให้กระจายการลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท และเลือกกองทุนที่เหมาะสมกับสภาวะตลาดในแต่ละช่วงเวลา เพื่อโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้น
ขอขอบคุณข้อมูลจาก : บลจ.กสิกรไทย, ธนาคารแห่งประเทศไทย