-
ดัชนี HSI ปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.69 จุด โดยได้รับแรงหนุนจากความสนใจของนักลงทุนต่อพัฒนาการในกลุ่มเทคโนโลยีของจีน โดยบริษัท BYD ได้ประกาศความร่วมมือกับ DeepSeek เพื่อพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ไร้คนขับ ขณะเดียวกัน Alibaba ยืนยันความร่วมมือกับ Apple ในการผสานเทคโนโลยี AI ของ Alibaba เพื่อพัฒนา iPhone รุ่นใหม่สำหรับตลาดจีน
-
K WEALTH ยังคงมีมุมมองเป็นกลางต่อการลงทุนในตลาดหุ้นจีน จะเห็นได้ว่าตลาดหุ้นจีนมี Valuation ที่น่าสนใจและเทคโนโลยี AI ที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามยังคงมีความเสี่ยงจากนโยบายการค้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งอาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนในอนาคต
หุ้นกลุ่มเทคโนโลจีนพุ่งไม่หยุด
วันนี้ 14 กุมภาพันธ์ 2025 ดัชนี HSI ปิดตลาดบวก 805.96 จุด หรือ +3.69% เมื่อเทียบกับวันก่อนหน้า โดยได้รับแรงหนุนจากปัจจัยบวกหลายประการที่ช่วยลดความกังวลของนักลงทุนเกี่ยวกับสถานการณ์การค้าระหว่างประเทศ
ตลาดได้รับแรงสนับสนุนจากความชัดเจนในท่าทีของ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ซึ่งยังไม่ได้ดำเนินการบังคับใช้มาตรการ "Reciprocal Tariffs" ในทันที ส่งผลให้นักลงทุนคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับความตึงเครียดด้านการค้าโลก
ขณะเดียวกัน นักลงทุนหันกลับมาให้ความสนใจกับ หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในจีน หลังจากก่อนหน้านี้ประเมินศักยภาพการเติบโตต่ำเกินไป โดยแรงหนุนสำคัญมาจากการเปิดตัวโมเดล AI ใหม่ล่าสุด "DeepSeek" ของจีน ซึ่งสามารถขึ้นครอง อันดับ 1 ในยอดดาวน์โหลดของสหรัฐฯ แซงหน้าคู่แข่งสำคัญอย่าง ChatGPT
นอกจากนี้ หุ้นของ BYD ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าชั้นนำของจีน ราคาหุ้นปรับตัว +6.37% หลังจากประกาศความร่วมมือกับบริษัท DeepSeek ในการพัฒนา เทคโนโลยียานยนต์ไร้คนขับ (Autonomous Driving) โดยบริษัท BYD ระบุว่า รถยนต์รุ่นใหม่เกือบทั้งหมด จะติดตั้งระบบ DeepSeek Drive ซึ่งเป็นระบบช่วยขับขี่อัจฉริยะที่พัฒนาจากเทคโนโลยี AI ขั้นสูง
ความเคลื่อนไหวที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ ราคาหุ้นของ Alibaba ปรับตัว +5.06% หลังจาก โจ ไซ (Joe Tsai) ประธานกลุ่มบริษัท Alibaba ออกมายืนยันความร่วมมือกับ Apple ในการผสาน เทคโนโลยี AI ของ Alibaba เพื่อพัฒนา iPhone รุ่นใหม่สำหรับตลาดจีน ซึ่งการประกาศดังกล่าวช่วยหนุนความเชื่อมั่นในศักยภาพการเติบโตของบริษัท Alibaba และตอกย้ำความแข็งแกร่งของจีนในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีระดับโลก
มุมมองการลงทุน
K WEALTH ยังคงมีมุมมองที่เป็นกลางต่อการลงทุนในตลาดหุ้นจีน โดยจะเห็นได้ว่าตลาดหุ้นจีนมีการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งได้รับแรงสนับสนุนจากระดับ Valuation ที่น่าสนใจ รวมถึงพัฒนาการทางด้านเทคโนโลยี AI ที่มีประสิทธิภาพและมีความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามยังคงมีความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและแนวโน้มการเติบโตของตลาดในระยะข้างหน้า
คำแนะนำ
นักลงทุนปัจจุบัน : ประเมินสัดส่วนการลงทุนในกองทุนหุ้นจีน หากมีสัดส่วนเกิน 30% ของพอร์ต อาจพิจารณาปรับลดความเสี่ยง หรือหากมีสัดส่วนน้อยกว่า 30% ของพอร์ต แนะนำคงสัดส่วนการลงทุนเดิม
นักลงทุนมือใหม่ : พิจารณาและประเมินสถานการณ์อย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน
- ผู้ที่รับความเสี่ยงจากการลงทุนได้
- แนะนำพิจารณาลงทุนกองทุน K-GHEALTH* (ระดับความเสี่ยง 6 จาก 8 ระดับ) ลงทุนในบริษัท Healthcare ครอบคลุมทั้งกลุ่ม Defensive เช่น Pharmaceutical, Healthcare Services และกลุ่ม Growth เช่น MedTech, Biotechnology
- แนะนำพิจารณาลงทุนกองทุน K-VIETNAM* (ระดับความเสี่ยง 6 จาก 8 ระดับ) ลงทุนหุ้นเวียดนามที่รับประโยชน์จากการเติบโตของเศรษฐกิจ เช่น บริโภคภายใน การเงิน อุตสาหกรรม
- แนะนำพิจารณาลงทุนกองทุน K-GINFRA* (ระดับความเสี่ยง 6 จาก 8 ระดับ) ซึ่งลงในบริษัทด้านโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลก เช่น ท่อก๊าซ โรงไฟฟ้า สนามบิน
- แนะนำพิจารณาลงทุนกองทุน K-GOLD** (ระดับความเสี่ยง 8 จาก 8 ระดับ) เพื่อรับกับความผันผวนจากสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน
- สำหรับนักลงทุนที่มีความกังวลต่อความผันผวนของตลาดหุ้น หรือกังวลกับความเสี่ยงในการลงทุน
- หากรับความเสี่ยงได้บ้าง หรือเป็นเงินลงทุนที่ถือได้อย่างน้อย 1 ปี ขอแนะนำกองทุนตราสารหนี้ ได้แก่
- กองทุน K-FIXED-A** (ระดับความเสี่ยง 4 จาก 8 ระดับ) ในกรณีที่ไม่ต้องการรับความเสี่ยงจากการลงทุนต่างประเทศ
- กองทุน K-FIXED-A** (ระดับความเสี่ยง 4 จาก 8 ระดับ) ในกรณีที่ไม่ต้องการรับความเสี่ยงจากการลงทุนต่างประเทศ
- หากรับความเสี่ยงได้ต่ำ หรือต้องการหลีกเลี่ยงทางเลือกที่มีความผันผวน หรือต้องการพักเงินสั้นๆ เพื่อรอจังหวะเข้าลงทุนอีกครั้ง แนะนำ
- กองทุน K-SF-A** (ระดับความเสี่ยง 4 จาก 8 ระดับ) ซึ่งเหมาะกับการลงทุน 1-3 เดือน
- กองทุน K-SFPLUS** (ระดับความเสี่ยง 4 จาก 8 ระดับ) เหมาะกับการลงทุน 3-6 เดือน
ขอขอบคุณข้อมูลจาก Bloomberg