ดัชนี HIS ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.05% หลังจากประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ได้จัดประชุมผูนำระดับสูงในกลุ่มบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ในจีนพร้อมส่งสัญญาณสนับสนุน ทำให้นักลงทุนกลับามีความเชื่อมั่นต่อตลาดหุ้นจีนอีกครั้ง

ประเด็นร้อน: ตลาดหุ้นจีนพุ่งต่อ หลัง สี จิ้นผิง พบผู้นำภาคเทคโนโลยี

ดัชนี HIS ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.05% หลังจากประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ได้จัดประชุมผูนำระดับสูงในกลุ่มบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ในจีนพร้อมส่งสัญญาณสนับสนุน ทำให้นักลงทุนกลับามีความเชื่อมั่นต่อตลาดหุ้นจีนอีกครั้ง

  • ดัชนี HSI ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.05% หลังจากที่ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ของจีน ได้จัดประชุมสัมมนาเทคโนโลยีและเศรษฐกิจที่กรุงปักกิ่ง พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ระดับสูง และซีอีโอของบริษัทเทคโนโลยี ส่งสัญญาณสนับสนุนภาคเอกชนและเทคโนโลยีในประเทศ ทำให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นต่อตลาดหุ้นจีนเพิ่มขึ้น
  • K WEALTH ยังคงมีมุมมองเป็นกลางต่อการลงทุนในตลาดหุ้นจีน ตลาดหุ้นจีนโดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยีมีพัฒนาการที่ดีขึ้น ทั้งเรื่องเทคโนโลยี AI และภาครัฐที่ส่งสัญญาณสนับสนุนอย่างจริงจัง อย่างไรก็ตามยังคงมีความเสี่ยงจากนโยบายการค้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งอาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนในอนาคต

ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน ส่งสัญญาณสนับสนุนภาคเอกชน

วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2025 ดัชนี Hang Seng Index (HSI) ปิดตลาดบวก 464 จุด หรือ +2.05% เมื่อเทียบกับวันก่อนหน้า โดยได้รับแรงหนุนสำคัญจากสัญญาณเชิงบวกของภาครัฐ หลังประธานาธิบดีจีน สี จิ้นผิง เป็นประธานในการประชุมสัมมนาด้านเทคโนโลยีและเศรษฐกิจที่กรุงปักกิ่ง การประชุมครั้งนี้มีเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลจีนและซีอีโอจากบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำเข้าร่วม อาทิ Alibaba, BYD, Huawei, CATL, Xiaomi, Tencent, Meituan และ DeepSeek


4 สัญญาณสำคัญจากการประชุม

  1. บทบาทที่เพิ่มขึ้นของภาคเอกชน
  2. สี จิ้นผิง ย้ำว่ารัฐบาลจีนจะผ่อนคลายกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการลงทุนของภาคเอกชน โดยเฉพาะประเด็นต้นทุนเงินทุนที่อยู่ในระดับสูง นอกจากนี้ ยังมีนโยบายสนับสนุนให้บริษัทเอกชนได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกับรัฐวิสาหกิจ (Equal Treatment) เพื่อเสริมสร้างความเชื่อมั่นของนักลงทุน


  3. ยุทธศาสตร์เทคโนโลยีในสงครามการค้า
  4. จีนส่งสัญญาณชัดเจนถึงทิศทางลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากสหรัฐฯ และเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีระดับโลก ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเข้มข้นที่เพิ่มขึ้นของการแข่งขันระหว่างสองประเทศ โดยรูปแบบการประชุมครั้งนี้คล้ายกับพิธีสาบานตนของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่รวบรวมผู้บริหารระดับสูงจากภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้อง


  5. ภาคเทคโนโลยีแทนที่ภาคอสังหาริมทรัพย์เป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
  6. ภาครัฐเน้นย้ำว่าจะผลักดันอุตสาหกรรมเทคโนโลยีให้เป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจแทนที่อุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ที่เคยเป็นเสาหลักในอดีต นักวิเคราะห์จาก Bloomberg ชี้ให้เห็นว่า รายชื่อบริษัทที่ไม่ได้เข้าร่วมประชุมสะท้อนทิศทางใหม่ของนโยบายรัฐบาลจีนที่ให้ความสำคัญกับภาคเทคโนโลยีมากขึ้น


  7. จุดสิ้นสุดของการคุมเข้มภาคเอกชน

นโยบายคุมเข้มและกฎระเบียบที่เคยสร้างแรงกดดันต่อบริษัทเอกชนในช่วงที่ผ่านมา อาจสิ้นสุดลงแล้ว การประชุมครั้งนี้จึงถือเป็นสัญญาณสำคัญที่ช่วยฟื้นความเชื่อมั่นของนักลงทุน และอาจเป็นจุดเริ่มต้นของยุคใหม่ที่ภาคเอกชนได้รับการสนับสนุนมากขึ้น


สัญญาณเชิงบวกต่อตลาดหุ้นจีน

นักวิเคราะห์มองว่าการประชุมครั้งนี้สะท้อนถึงการสนับสนุนในระดับสูงจากรัฐบาลจีนต่อภาคเอกชน ซึ่งเป็นปัจจัยที่ช่วยกระตุ้นความเชื่อมั่นของนักลงทุน และอาจนำไปสู่การพลิกฟื้นของเศรษฐกิจจีนในระยะยาว หลังจากตลาดหุ้นจีนที่เผชิญแรงกดดันจากปัจจัยลบในช่วงที่ผ่านมา อาจเริ่มกลับมามีแนวโน้มเชิงบวกอีกครั้ง แต่ยังต้องรอติดตามรายละเอียดและแนวนโยบายที่ชัดเจนที่คาดว่าจะมีระบุเพิ่มเติมในการประชุมสองสภาของจีนเดือนมี.ค.2568


มุมมองการลงทุน

K WEALTH ยังคงมีมุมมองที่เป็นกลางต่อการลงทุนในตลาดหุ้นจีน จะเห็นได้ว่าตลาดหุ้นจีนโดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยีมีพัฒนาการที่ดีทั้งเรื่องเทคโนโลยี AI และภาครัฐที่ส่งสัญญาณสนับสนุนอย่างจริงจังทำให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นในตลาดหุ้นจีนเพิ่มขึ้นอีกครั้ง อย่างไรก็ตามยังคงมีความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและแนวโน้มการเติบโตของตลาดในระยะข้างหน้า


คำแนะนำ

นักลงทุนปัจจุบัน : ประเมินสัดส่วนการลงทุนในกองทุนหุ้นจีน หากมีสัดส่วนเกิน 30% ของพอร์ต อาจพิจารณาปรับลดความเสี่ยง หรือหากมีสัดส่วนน้อยกว่า 30% ของพอร์ต แนะนำคงสัดส่วนการลงทุนเดิม


นักลงทุนมือใหม่ : พิจารณาและประเมินสถานการณ์อย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน


  • ผู้ที่รับความเสี่ยงจากการลงทุนได้
    • แนะนำพิจารณาลงทุนกองทุน K-GHEALTH* (ระดับความเสี่ยง 6 จาก 8 ระดับ) ลงทุนในบริษัท Healthcare ครอบคลุมทั้งกลุ่ม Defensive เช่น Pharmaceutical, Healthcare Services และกลุ่ม Growth เช่น MedTech, Biotechnology
    • แนะนำพิจารณาลงทุนกองทุน K-VIETNAM* (ระดับความเสี่ยง 6 จาก 8 ระดับ) ลงทุนหุ้นเวียดนามที่รับประโยชน์จากการเติบโตของเศรษฐกิจ เช่น บริโภคภายใน การเงิน อุตสาหกรรม
    • แนะนำพิจารณาลงทุนกองทุน K-GINFRA* (ระดับความเสี่ยง 6 จาก 8 ระดับ) ซึ่งลงในบริษัทด้านโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลก เช่น ท่อก๊าซ โรงไฟฟ้า สนามบิน
    • แนะนำพิจารณาลงทุนกองทุน K-GOLD** (ระดับความเสี่ยง 8 จาก 8 ระดับ) เพื่อรับกับความผันผวนจากสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน
  • สำหรับนักลงทุนที่มีความกังวลต่อความผันผวนของตลาดหุ้น หรือกังวลกับความเสี่ยงในการลงทุน
    • หากรับความเสี่ยงได้บ้าง หรือเป็นเงินลงทุนที่ถือได้อย่างน้อย 1 ปี ขอแนะนำกองทุนตราสารหนี้ ได้แก่
      • กองทุน K-FIXED-A** (ระดับความเสี่ยง 4 จาก 8 ระดับ) ในกรณีที่ไม่ต้องการรับความเสี่ยงจากการลงทุนต่างประเทศ
      • กองทุน K-FIXEDPLUS** (ระดับความเสี่ยง 4 จาก 8 ระดับ) ในกรณีที่ต้องการเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนจากการลงทุนต่างประเทศหรือรับความเสี่ยงจากการลงทุนต่างประเทศได้
  • หากรับความเสี่ยงได้ต่ำ หรือต้องการหลีกเลี่ยงทางเลือกที่มีความผันผวน หรือต้องการพักเงินสั้นๆ เพื่อรอจังหวะเข้าลงทุนอีกครั้ง แนะนำ
    • กองทุน K-SF-A** (ระดับความเสี่ยง 4 จาก 8 ระดับ) ซึ่งเหมาะกับการลงทุน 1-3 เดือน
    • กองทุน K-SFPLUS** (ระดับความเสี่ยง 4 จาก 8 ระดับ) เหมาะกับการลงทุน 3-6 เดือน

ขอขอบคุณข้อมูลจาก Bloomberg


คำเตือน

Disclaimer: “ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน”

*กองทุน K-GHEALTH, K-VIETNAM และ K-GINFRA มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน

**กองทุน K-FIXED-A, K-FIXEDPLUS, K-SF-A, K-SFPLUS และ K-GOLD มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมด

ผู้เขียน

K WEALTH

Back to top