กองทุน K-CHINA โอกาสลงทุนในหุ้นจีนทั่วโลก พร้อมรับกระแสฟื้นตัวหุ้นเทคโนโลยี ตอบโจทย์นักลงทุนที่มองหาโอกาสเติบโตระยะกลาง-ยาวในตลาดจีน

หุ้นจีนเริ่มเด้ง! CHINA ในวันนี้ยังน่าลงทุนแค่ไหน?

กองทุน K-CHINA โอกาสลงทุนในหุ้นจีนทั่วโลก พร้อมรับกระแสฟื้นตัวหุ้นเทคโนโลยี ตอบโจทย์นักลงทุนที่มองหาโอกาสเติบโตระยะกลาง-ยาวในตลาดจีน

กดฟัง
หยุด
  • จุดเด่นของกองทุน K-CHINA คือเน้นลงทุนในหุ้นจีนที่จดทะเบียนในประเทศต่างๆ ทั่วโลก ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะตลาดใดตลาดหนึ่ง ทำให้ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของหุ้นเทคโนโลยีจีนอย่างมีนัยสำคัญ
  • แม้ยังมีปัจจัยผันผวนจากความไม่แน่นอนของนโยบายรัฐบาลจีนและความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ยังอยู่ในระดับต่ำ แต่กองทุนยังมีโอกาสเติบโตในระยะกลาง-ยาว จากอานิสงค์ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีโดยเฉพาะด้าน AI
  • K WEALTH มีมุมมองเป็นกลางต่อตลาดหุ้นจีน สำหรับผู้ที่ถือกองทุนในสัดส่วนที่มากกว่า 30% อาจพิจารณาปรับลดสัดส่วนลง แต่ผู้ที่ถือในสัดส่วนเหมาะสมแล้ว (ราว 30%) แนะนำถือต่อได้โดยอาจยังต้องระวังความผันผวนที่ยังมีอยู่

ในช่วงที่ผ่านมา นักลงทุนที่ติดตามตลาดหุ้นจีนอาจสังเกตเห็นการฟื้นตัวที่น่าสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มหุ้นเทคโนโลยี จากอานิสงส์ของการเปิดตัว DeepSeek AI ส่งผลให้กองทุน K-CHINA ที่เน้นการลงทุนในหุ้นเติบโตของจีน กลับมาได้รับความสนใจอีกครั้ง วันนี้ K WEALTH จะชวนนักลงทุนมารู้จักกองทุน K-CHINA ให้มากขึ้นว่าลงทุนในอะไรบ้าง พร้อมมุมมองของ K WEALTH ต่อตลาดหุ้นจีน


ภาพรวมกองทุน K-CHINA และโครงสร้างพอร์ตการลงทุน

กองทุน K-CHINA ลงทุนผ่านกองทุนหลัก JPMorgan Funds – China Fund , Class JPM China I (acc) - USD มีจุดเด่นคือเน้นลงทุนในหุ้นจีนที่จดทะเบียนในประเทศต่างๆ ทั่วโลก เพื่อเพิ่มโอกาสการลงทุนธุรกิจของประเทศจีน และกระจายความเสี่ยงไปในหลายตลาด เน้นการลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี การบริโภค การเงิน และพลังงานเป็นหลัก สัดส่วนการลงทุนที่สำคัญ ได้แก่




ทำไมกองทุน K-CHINA ถึงฟื้นตัวได้ดี

จากนโยบายของกองทุน K-CHINA ที่เน้นลงทุนในหุ้นจีนที่จดทะเบียนในประเทศต่างๆ ทั่วโลก กองทุน K-CHINA จึงเป็นกองทุนที่ได้อานิสงส์จากการปรับตัวขึ้นของราคาหุ้นเติบโต โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจีน จากข่าวการเปิดตัว DeepSeek AI ทำให้ราคากองทุน K-CHINA ปรับตัวขึ้นอย่างโดดเด่นถึง 14.13% นับตั้งแต่ต้นปี


กราฟผลตอบแทนกอง K-CHINA ตั้งแต่ต้นปีถึงวันที่ 10 มีนาคม 2025



ที่มา Bloomberg


เมื่อเปรียบเทียบระหว่าง ตลาด A-Share ที่ลงทุนในจีนแผ่นดินใหญ่ หรือบริษัทภายในประเทศจีนที่อาจไม่จดทะเบียนในต่างประเทศ เช่น บริษัทในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ธนาคาร ทรัพยากรธรรมชาติ และเทคโนโลยีบางส่วนที่มุ่งตลาดจีนเป็นหลัก กับตลาด H-Share ที่มีบริษัทขนาดใหญ่ที่มีการดำเนินธุรกิจข้ามพรมแดนหรือมีความเชื่อมโยงกับตลาดต่างประเทศมากขึ้น เช่น สถาบันการเงินขนาดใหญ่ ธนาคารรัฐวิสาหกิจ ผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือ และบริษัทเทคโนโลยีบางส่วน จะเห็นว่าตั้งแต่เริ่มปี 2025 มา ตลาด H-Share มีศักยภาพในการฟื้นตัวที่เร็วกว่า




ที่มา Bloomberg


ผลตอบแทนและความเสี่ยง

แม้หุ้นจีนจะเริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัว แต่ราคากองทุน K-CHINA ได้รับผลกระทบเชิงลบจากปัจจัยหลายประการที่ทำให้ตลาดหุ้นจีนปรับตัวลงในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้นักลงทุนส่วนใหญ่ที่ถือกองทุน K-CHINA ยังขาดทุนโดยเฉลี่ยราว 20% โดยมีสาเหตุดังนี้


  • ความไม่ชัดเจนในนโยบายรัฐบาลเกี่ยวกับการสนับสนุนภาคเอกชน
  • การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนที่ยังไม่แข็งแกร่งอย่างที่คาดการณ์ไว้
  • ความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ ที่ยังคงมีความไม่แน่นอนสูง
  • มาตรการควบคุมภาคอสังหาริมทรัพย์และภาคเทคโนโลยีจากรัฐบาลจีน

ปัจจัยเหล่านี้ยังคงเป็นปัจจัยกดดันที่ทำให้ตลาดหุ้นจีนยังคงผันผวนสูง สำหรับนักลงทุนที่ต้องการมองหาโอกาสการลงทุนในตลาดหุ้นจีน การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนในระยะกลาง-ยาวยังคงเป็นปัจจัยหลักที่แนะนำให้นักลงทุนติดตามอย่างใกล้ชิด



ที่มา : KAsset


คำแนะนำสำหรับนักลงทุน

ปัจจุบัน K WEALTH ยังมีมุมมองเป็นกลาง (Neutral) กับกองทุนหุ้นจีน แม้ตลาดหุ้นจีนจะฟื้นตัว แต่เศรษฐกิจจีนยังคงเผชิญกับปัญหาความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่อยู่ในระดับต่ำ และภาวะซบเซาในภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งยังคงเป็นปัจจัยฉุดรั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจ


นักลงทุนที่ลงทุนใน K-CHINA อาจเริ่มเห็นกำไรบ้างแล้วจากการฟื้นตัวล่าสุด แต่สำหรับผู้ที่มีสัดส่วนการลงทุนที่สูงเกิน 30% ควรพิจารณาลดสัดส่วนการลงทุนลง และสำหรับนักลงทุนที่มีสัดส่วนไม่มากจนเกินไป (ประมาณ 30%) สามารถถือต่อได้ แต่ยังแนะนำให้ระวังความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นระหว่างทาง