สรุปแนวทาง 3 คาถาการลงทุน (ลงยาว กระจายเสี่ยง ใช้ผู้เชี่ยวชาญ) และรีวิว K-WealthPLUS Series เพื่อการลงทุนอย่างยั่งยืน ลดเสี่ยง เพิ่มโอกาสสร้างกำไร

คาถาลงทุนสำหรับมือใหม่ "ลงยาว ลงกระจาย ลงกับผู้เชี่ยวชาญ"

สรุปแนวทาง 3 คาถาการลงทุน (ลงยาว กระจายเสี่ยง ใช้ผู้เชี่ยวชาญ) และรีวิว K-WealthPLUS Series เพื่อการลงทุนอย่างยั่งยืน ลดเสี่ยง เพิ่มโอกาสสร้างกำไร

กดฟัง
หยุด
  • 3 คาถาการลงทุน (ลงยาว, ลงกระจาย, ลงทุนกับผู้เชี่ยวชาญ) เป็นหลักการลงทุนที่จำเป็นสำหรับนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนที่มั่นคงในระยะยาว โดยเน้นการลงทุนต่อเนื่องแทนการจับจังหวะตลาด (ลงยาว) ลดความเสี่ยงจากความผันผวนด้วยการลงทุนหลากหลายสินทรัพย์และภูมิภาค (ลงกระจาย) และให้มืออาชีพเข้ามาช่วยบริหารจัดการเพื่อหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดที่นักลงทุนรายย่อยมักจะพบเจอ (ลงทุนกับผู้เชี่ยวชาญ)
  • K-WealthPLUS Series กองทุนผสม ที่เกิดขึ้นจากความร่วมมือระหว่าง KAsset และ JPMorgan Asset Management ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์นักลงทุนไทยในทุกระดับความเสี่ยง มีทั้งกองทุนความเสี่ยงต่ำ กลาง และสูง โดยลงทุนทั้งหุ้น ตราสารหนี้ และสินทรัพย์ทางเลือกระดับโลก เพื่อเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนสูงสุด พร้อมปรับพอร์ตลงทุนอย่างยืดหยุ่นให้เหมาะสมกับสถานการณ์ตลาดในแต่ละช่วงเวลา

3 คาถาการลงทุน กลยุทธ์การลงทุนเพื่อความมั่งคั่งอย่างยั่งยืน

การลงทุนที่ประสบความสำเร็จในระยะยาวนั้น ต้องอาศัยหลักการที่ถูกต้องและชัดเจน เพื่อให้สามารถสร้างผลตอบแทนที่มั่นคงพร้อมรับมือกับความผันผวนของตลาดได้เป็นอย่างดี สำหรับ K-WealthPLUS Series ของ KAsset มีการออกแบบหลักการลงทุนสำคัญในรูปแบบที่เรียกว่า “3 คาถาการลงทุน” โดยแต่ละคาถามีรายละเอียดที่น่าสนใจ ดังนี้


คาถาที่ 1: ลงยาว (Long-term Investment)

แนวคิดการลงทุนระยะยาว เทียบกับการจับจังหวะตลาด

การลงทุนในระยะยาวได้รับการพิสูจน์อย่างชัดเจนแล้วว่าสามารถสร้างผลตอบแทนที่มั่นคงและสูงกว่าเมื่อเทียบกับการลงทุนแบบจับจังหวะตลาด (Market Timing) ซึ่งนักลงทุนจำนวนมากมักเลือกใช้วิธีนี้ด้วยความหวังว่าจะสร้างกำไรได้รวดเร็วในช่วงที่ตลาดผันผวนสูง อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริงแล้ว การจับจังหวะตลาดเป็นสิ่งที่ทำได้ยากมาก นักลงทุนส่วนใหญ่มักตัดสินใจผิดพลาดจากอารมณ์ความกลัวและความโลภ ส่งผลให้ผลตอบแทนเฉลี่ยระยะยาวต่ำกว่าที่คาดหวังไว้มาก



Source: Know the market, KAsset


จากข้อมูลสถิติระหว่างปี 1950-2024 พบว่าการลงทุนในหุ้นอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน 20 ปี จะมีโอกาสขาดทุนน้อยมาก และสามารถให้ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีที่ดีในระดับที่น่าพึงพอใจ ยิ่งหากนักลงทุนเลือกใช้กลยุทธ์การลงทุนในพอร์ตแบบผสมระหว่างหุ้นและตราสารหนี้ในสัดส่วน 60/40 จะช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาดได้อย่างชัดเจน โดยมีผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีสูงถึง 9.4% และมีช่วงผลตอบแทนที่ประมาณ 5-15% ต่อปี ซึ่งสะท้อนถึงความสม่ำเสมอของผลตอบแทน พร้อมทั้งลดโอกาสในการขาดทุนในระยะยาวได้เป็นอย่างดี


ที่สำคัญคือ เมื่อระยะเวลาการลงทุนยาวขึ้น โอกาสที่จะขาดทุนก็จะยิ่งน้อยลง เนื่องจากตลาดมักจะสามารถฟื้นตัวจากภาวะตกต่ำได้เมื่อเวลาผ่านไป นักลงทุนที่อดทนและไม่หวั่นไหวกับความผันผวนระยะสั้นจึงมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ดีและมั่นคงในระยะยาว ตัวอย่างที่โดดเด่นที่สุดของแนวคิดนี้คือ Warren Buffett นักลงทุนระดับโลกที่ประสบความสำเร็จจากการถือหุ้นบริษัทที่มีพื้นฐานแข็งแกร่งในระยะยาว แม้ผ่านวิกฤติเศรษฐกิจหลายครั้ง เช่น วิกฤติปี 2008 หรือเหตุการณ์ Black Monday ปี 1987 บัฟเฟตต์ยังคงรักษาหุ้นไว้จนผ่านช่วงวิกฤติ และสามารถสร้างความมั่งคั่งที่เหนือกว่านักลงทุนส่วนใหญ่ได้อย่างชัดเจน ดังนั้น แนวคิดการลงทุนระยะยาวจึงไม่เพียงช่วยให้นักลงทุนสามารถได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้น แต่ยังช่วยลดความเสี่ยงและโอกาสขาดทุนได้อย่างมีนัยสำคัญในระยะยาวอีกด้วย


คุณสมบัติของกองทุนที่เหมาะสมกับการลงทุนระยะยาว

กองทุนที่เหมาะสมกับการลงทุนระยะยาว มีคุณสมบัติที่สำคัญดังนี้


  • มีทีมบริหารที่เชี่ยวชาญ สามารถวิเคราะห์พื้นฐานเศรษฐกิจและตลาดทุนได้อย่างลึกซึ้ง
  • เน้นกลยุทธ์การลงทุนเชิงรุก (Active Management) โดยเลือกปรับพอร์ตอย่างมีประสิทธิภาพตามสถานการณ์ของตลาดที่เปลี่ยนแปลง
  • มีการจัดสรรการลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลายทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ทางเศรษฐกิจระดับโลก

คาถาที่ 2: ลงกระจาย (Diversification)


Source: Know the market, KAsset


ข้อดีของการลงทุนแบบกระจาย

ข้อดีของการลงทุนแบบกระจาย (Diversification) คือการลดความเสี่ยงของพอร์ตลงทุนผ่านการลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย เช่น หุ้นขนาดใหญ่ หุ้นขนาดเล็ก ตราสารหนี้ กองทุนอสังหาริมทรัพย์ (REITs) สินค้าโภคภัณฑ์ (Commodities) และเงินสด รวมไปถึงกระจายไปในหลายๆ ภูมิภาคทั่วโลก เพื่อไม่ให้พอร์ตการลงทุนได้รับผลกระทบรุนแรงจากสินทรัพย์ประเภทใดประเภทหนึ่งมากจนเกินไป


จากข้อมูลสถิติช่วงปี 2010-2024 พบว่าสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดในแต่ละปีนั้นสลับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปเรื่อยๆ ไม่แน่นอน เช่น REITs เคยมีผลตอบแทนสูงสุดในปี 2010 ถึง 28.1% และปี 2021 Commodities เคยให้ผลตอบแทนสูงถึง 27.1% แต่ในปีถัดๆ ไปกลับมีผลตอบแทนต่ำสุดที่ -24.7% ขณะเดียวกันตราสารหนี้และเงินสดที่มักถูกมองว่าน่าเบื่อหรือให้ผลตอบแทนน้อย ในบางปีกลับกลายเป็นสินทรัพย์ที่มีผลตอบแทนดีที่สุดเมื่อเทียบกับสินทรัพย์อื่นๆ ตัวอย่างที่ชัดเจนคือในปี 2022 เงินสด (Cash) กลายเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุดในภาวะตลาดหุ้นผันผวนสูง


นอกจากนี้ เหตุการณ์สำคัญที่แสดงถึงความเสี่ยงจากการลงทุนแบบกระจุกตัวก็คือเหตุการณ์ตลาดหุ้นจีนช่วงปี 2020-2021 นักลงทุนที่ลงทุนกระจุกตัวในหุ้นจีนได้รับผลกระทบรุนแรง จากมาตรการควบคุมบริษัทเทคโนโลยีโดยรัฐบาลจีน ส่งผลให้หุ้นรายใหญ่ของจีนปรับตัวลงกว่า 50% ภายในระยะเวลาไม่กี่เดือน ในทางกลับกัน นักลงทุนที่มีการกระจายการลงทุนในหลายประเทศหรือหลายประเภทสินทรัพย์ กลับได้รับผลกระทบที่น้อยกว่ามากและสามารถรักษาความมั่นคงของพอร์ตลงทุนไว้ได้


ดังนั้น การลงทุนแบบ Asset Allocation หรือการจัดพอร์ตแบบกระจายที่เหมาะสมในสินทรัพย์ที่หลากหลาย จะช่วยสร้างผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ ลดความเสี่ยงจากความผันผวนของสินทรัพย์แต่ละชนิด และยังช่วยให้นักลงทุนสามารถรักษาความมั่งคั่งได้ดีขึ้นในทุกสภาวะตลาดอีกด้วย



คาถาที่ 3: ลงทุนกับผู้เชี่ยวชาญ (Expert Investment Management)

การลงทุนที่มีประสิทธิภาพนั้น นอกจากความรู้และกลยุทธ์ที่ดีแล้ว ยังจำเป็นต้องอาศัยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญระดับสูงในการตัดสินใจ นักลงทุนรายย่อยมักจะเผชิญกับข้อผิดพลาดจากการตัดสินใจด้วยอารมณ์ ไม่ว่าจะเป็นการ panic sell ในช่วงตลาดขาลง หรือการไล่ซื้อตามกระแสตลาดโดยไม่มีข้อมูลสนับสนุนที่เพียงพอ ผลลัพธ์คือผลตอบแทนที่ต่ำกว่าอย่างชัดเจนเมื่อเปรียบเทียบกับนักลงทุนสถาบัน ซึ่งมีระบบการบริหารพอร์ตและมีผู้เชี่ยวชาญคอยวิเคราะห์ข้อมูลอย่างรอบคอบ


การลงทุนกับผู้เชี่ยวชาญ (Expert Investment Management) จะช่วยลดปัญหาเหล่านี้ลงได้ เนื่องจากผู้เชี่ยวชาญมีความรู้ความเข้าใจที่ลึกซึ้งกว่า มีเครื่องมือวิเคราะห์ที่ทันสมัย สามารถประเมินสถานการณ์ตลาดได้รอบด้าน มีทีมงานที่มีประสบการณ์สูง และมีระบบจัดการความเสรื่ยงที่มีประสิทธิภาพ ทำให้สามารถตัดสินใจลงทุนอย่างมีเหตุผล และมีการปรับพอร์ตอย่างเหมาะสมในทุกสภาวะตลาด ตัวอย่างเช่น K-WealthPLUS Series ของ KAsset ที่บริหารร่วมกับ JPMorgan Asset Management ซึ่งมีผู้จัดการกองทุนที่มีประสบการณ์สูงเฉลี่ยมากกว่า 15 ปี และใช้ระบบวิเคราะห์ข้อมูลตลาดโลกอย่างละเอียด เช่น KAsset Capital Market Assumptions (KCMA) เพื่อวางแผนลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด


แนวทางการลงทุนแบบกระจายของ K-WealthPLUS Series

K-WealthPLUS Series เป็นกองทุนผสม (multi-assets) ที่ให้ความสำคัญกับการลงทุนแบบกระจายสินทรัพย์ ด้วยการออกแบบกองทุนตาม 3 ระดับความเสี่ยง เพื่อให้นักลงทุนแต่ละคนสามารถเลือกลงทุนตามความเสี่ยงที่รับได้ ดังนี้


  1. K-WPBALANCED
    • เหมาะสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ปานกลางค่อนข้างต่ำ
    • เน้นการลงทุนในหุ้นประมาณ 30% และตราสารหนี้ 70%
  2. K-WPSPEEDUP
    • เหมาะสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ปานกลางค่อนข้างสูง
    • เน้นหุ้นประมาณ 65% และตราสารหนี้ 35%
  3. K-WPULTIMATE
    • เหมาะสำหรับนักลงทุนที่สามารถรับความเสี่ยงได้สูง
    • เน้นลงทุนในหุ้นประมาณ 85% ตราสารหนี้ประมาณ 15%

Source: KAsset as of 12/03/2568


แล้วคนที่ไม่ชอบเสี่ยงเลยใช้ 3 คาถาได้ไหม ?

สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้น้อยหรือไม่มีความพร้อมจะเสี่ยงเลย ก็สามารถใช้หลักการ 3 คาถาประกอบการตัดสินใจลงทุนได้แต่ควรนำหลักการทั้ง 3 คาถามาประยุกต์ใช้อย่างรอบคอบ กลยุทธ์ที่แนะนำคือ เน้นลงทุนในสินทรัพย์ที่ปลอดภัยสูง เช่น Term Fund หรือ Deposit Fund เพื่อรักษาเงินต้นเป็นหลัก พร้อมทั้งพิจารณาการลงทุนแบบกระจายความเสี่ยงเพิ่มเติมผ่านกองทุนที่บริหารโดยผู้เชี่ยวชาญ เพื่อสร้างผลตอบแทนที่มั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว




คำเตือน


ผู้เขียน

KWEALTHณัฐภัทร มิตรศิริสวัสดิ์, CFA, CAIA, FRM

Back to top