ในยุคที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากไม่สามารถชนะเงินเฟ้อได้ คนรุ่นใหม่จำนวนมากจึงหันมาสนใจลงทุนในตลาดหุ้นมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเทรดหุ้น ซึ่งมีโอกาสให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าในระยะยาว ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยระบุว่า จำนวนบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของนักลงทุนรายย่อยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มคนอายุ 20-35 ปี ที่เริ่มมองหาทางเลือกในการเพิ่มมูลค่าเงินออมนอกเหนือจากการฝากเงิน อย่างไรก็ตาม การเทรดหุ้นไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับมือใหม่ เพราะมีทั้งโอกาสและความเสี่ยงที่ต้องเรียนรู้ควบคู่กันไป บทความนี้จะขอแนะนำพื้นฐานที่จำเป็น เพื่อช่วยให้มือใหม่สามารถเริ่มต้นเทรดหุ้นได้อย่างมั่นใจและปลอดภัยมากขึ้น
เทรดหุ้นคืออะไร
การเทรดหุ้น คือ การซื้อขายหุ้นของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ โดยมีเป้าหมายเพื่อทำกำไรจากส่วนต่างราคา (Capital Gain) หรือรับเงินปันผล (Dividend) จากผลประกอบการของบริษัทนั้นๆ
ความแตกต่างระหว่างการเทรดหุ้นกับการลงทุนในกองทุนรวม
การเทรดหุ้นผู้ลงทุนต้องตัดสินใจเลือกหุ้นเอง มีอิสระในการซื้อขายหุ้นได้ตลอดเวลาที่ตลาดเปิดทำการซื้อขาย โดยผลตอบแทนขึ้นอยู่กับความสามารถในการเลือกหุ้นและจังหวะในการซื้อขาย แต่ต้องรับความเสี่ยงเองทั้งหมด ในขณะที่การลงทุนในกองทุนรวมมีผู้จัดการกองทุนมืออาชีพช่วยบริหารจัดการเงินลงทุนให้ ซื้อขายได้ตามเงื่อนไขของแต่ละกองทุน มีการกระจายความเสี่ยงไปในหลายหลักทรัพย์ และมีค่าธรรมเนียมการจัดการ
ทำไมคนรุ่นใหม่จึงหันมาสนใจเทรดหุ้นมากขึ้น
คนรุ่นใหม่หันมาสนใจการเทรดหุ้นเพิ่มขึ้นเนื่องจากมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่าเมื่อเทียบกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่อยู่ในระดับต่ำ ความสะดวกในการซื้อขายหุ้นที่ทำได้ง่ายผ่านแอปพลิเคชันบนมือถือ การเข้าถึงข้อมูลความรู้เกี่ยวกับการลงทุนที่มีอยู่มากมายบนอินเทอร์เน็ต โอกาสสร้างความมั่งคั่งในระยะยาว และการกระจายความเสี่ยงจากการพึ่งพารายได้จากแหล่งเดียว
ข้อดีและความเสี่ยงของการเทรดหุ้น
ข้อดีของการเทรดหุ้น
การเทรดหุ้นมีข้อดีหลายอย่าง เริ่มจากโอกาสทำกำไรสูงเมื่อเลือกหุ้นที่มีพื้นฐานดีและเติบโตอย่างต่อเนื่องซึ่งสามารถให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าการฝากเงินหลายเท่า อีกทั้งยังได้รับเงินปันผลจากหุ้นที่มีนโยบายจ่ายเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอ ทำให้ผู้ลงทุนมีรายได้ประจำจากการถือหุ้น เงินลงทุนมีโอกาสเติบโตจากข้อมูลย้อนหลังที่ตลาดหุ้นมีการเติบโตในระยะยาว แม้จะมีความผันผวนในบางช่วง นอกจากนี้ ยังมีสภาพคล่องสูงที่สามารถซื้อขายได้ง่ายและรวดเร็วเมื่อเทียบกับการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ และการถือหุ้นทำให้เราเป็นเจ้าของส่วนหนึ่งในธุรกิจนั้นๆ มีสิทธิรับผลตอบแทนและออกเสียงในการประชุมผู้ถือหุ้น
ความเสี่ยงของการเทรดหุ้น
แม้การเทรดหุ้นจะมีข้อดีมากมาย แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนควรตระหนัก ทั้งความผันผวนของตลาดที่ราคาหุ้นสามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็วตามปัจจัยต่างๆ ทั้งภายในและภายนอกประเทศ โอกาสขาดทุนที่การลงทุนในหุ้นมีความเสี่ยงทั้งในระยะสั้นและระยะยาว หากเลือกหุ้นไม่เหมาะสมหรือจังหวะไม่ดี ความจำเป็นที่ต้องใช้ข้อมูลในการวิเคราะห์และประกอบการตัดสินใจซึ่งต้องมีความรู้และข้อมูลเพียงพอ อาจต้องใช้เวลาและทรัพยากรมาก ความต้องการมีวินัยและควบคุมอารมณ์เนื่องจากความโลภและความกลัวเป็นอุปสรรคสำคัญ และความเสี่ยงจากการบริหารงานของบริษัทที่ผลการดำเนินงานอาจไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง ส่งผลให้ราคาหุ้นลดลงได้
เริ่มต้นเทรดหุ้นอย่างไร
หากพร้อมที่จะเริ่มต้นเทรดหุ้นด้วยตนเอง ขั้นตอนพื้นฐานที่จะช่วยให้เริ่มต้นได้อย่างมั่นใจ ได้แก่
- ศึกษาทำความเข้าใจตลาด โดยเรียนรู้พื้นฐานเกี่ยวกับตลาดหุ้น ปัจจัยที่มีผลต่อราคา และวิธีการวิเคราะห์หุ้น ศึกษาข้อมูลบริษัทที่สนใจทั้งจากงบการเงิน ข่าวสาร และแนวโน้มอุตสาหกรรม รวมถึงเข้าร่วมงานสัมมนาหรือคอร์สออนไลน์เกี่ยวกับการลงทุนในหุ้น
-
เลือกโบรกเกอร์และเปิดบัญชีซื้อขาย โดยเลือกโบรกเกอร์ที่น่าเชื่อถือ มีค่าธรรมเนียมที่เหมาะสม และมีบริการที่ตรงกับความต้องการ เตรียมเอกสารสำหรับการเปิดบัญชี ได้แก่ บัตรประชาชน สมุดบัญชีธนาคาร และพิจารณาเลือกประเภทบัญชีที่เหมาะสม เช่น บัญชีเงินสด บัญชีมาร์จิ้น โดยเงื่อนไขบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย สามารถดูได้จาก
https://www.kasikornsecurities.com/th/open-account/kplus
-
ตั้งเป้าหมายลงทุนและประเมินความเสี่ยงที่รับได้ ด้วยการกำหนดเป้าหมายการลงทุนที่ชัดเจน เช่น การเติบโตระยะยาว หรือรายได้จากเงินปันผล ประเมินความเสี่ยงที่ยอมรับได้ และจัดสรรเงินลงทุนให้เหมาะสม รวมถึงวางแผนระยะเวลาการลงทุนและจำนวนเงินที่พร้อมจะลงทุน
-
คัดเลือกหุ้นและสร้างพอร์ตลงทุนกระจายความเสี่ยง โดยเริ่มต้นด้วยหุ้นที่มีพื้นฐานดี มีความมั่นคง และเข้าใจธุรกิจได้ง่าย กระจายการลงทุนในหลายกลุ่มอุตสาหกรรมเพื่อลดความเสี่ยง และไม่ลงเงินทั้งหมดในครั้งเดียว ควรทยอยลงทุนเพื่อเฉลี่ยต้นทุน
-
ติดตามผลและรู้จังหวะขาย ด้วยการติดตามผลการดำเนินงานของบริษัทและปัจจัยที่อาจส่งผลต่อราคาหุ้น ตั้งเกณฑ์การขายทั้งกรณีทำกำไรและตัดขาดทุน รวมถึงทบทวนพอร์ตการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ และปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์
เปรียบเทียบการเทรดหุ้นกับกองทุนรวม
การเทรดหุ้นเองต้องเลือกหุ้นและตัดสินใจด้วยตัวเอง ต้องใช้เวลาศึกษาและติดตามตลาดมาก อาจต้องใช้เงินมากกว่าในการซื้อหุ้นหลายตัวเพื่อกระจายความเสี่ยง แต่มีโอกาสทำกำไรสูงกว่าหากเลือกหุ้นได้ดี มีค่าธรรมเนียมการซื้อขาย และซื้อขายได้ทันทีในเวลาทำการ เหมาะกับผู้ที่มีความรู้และมีเวลาติดตาม
ส่วนกองทุนรวมมีผู้จัดการกองทุนตัดสินใจให้ ใช้เวลาน้อยกว่า เริ่มต้นด้วยเงินน้อยได้ เงินลงทุนเริ่มต้น 500 บาท ผลตอบแทนอาจต่ำกว่าหุ้นบางบริษัท แต่มีความเสี่ยงน้อยกว่าเพราะกระจายความเสี่ยงโดยอัตโนมัติ มีค่าธรรมเนียมการจัดการและค่าใช้จ่ายอื่นๆ เหมาะกับมือใหม่หรือผู้ที่ไม่มีเวลา
ประเภทการลงทุนที่เหมาะกับมือใหม่
สำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นลงทุนและยังไม่มั่นใจในการเลือกหุ้นด้วยตนเอง การลงทุนผ่านกองทุนรวมเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ ซึ่งมีกองทุนหลายประเภทให้เลือกตามระดับความเสี่ยงที่รับได้
กองทุนดัชนีหุ้น ลงทุนตามดัชนีตลาดหลักทรัพย์ เช่น SET50 หรือ SET100 ให้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนีอ้างอิง เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนในหุ้น แต่ไม่ต้องการเลือกหุ้นเอง โดยกองทุนดัชนีหุ้น ได้แก่ กองทุน K-SET50 หรือหากต้องการลดหย่อนภาษี ได้แก่ กองทุน KS50RMF
กองทุนผสม ลงทุนทั้งในหุ้นและตราสารหนี้ในสัดส่วนที่เหมาะสม ช่วยลดความผันผวนจากการลงทุนในหุ้นล้วน โดยกองทุนผสมแนะนำ ได้แก่ กองทุน K-WPBALANCED, K-WPSPEEDUP, K-WPULTIMATE
การเทรดหุ้นเป็นการลงทุนที่มีทั้งโอกาสและความเสี่ยง สำหรับมือใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้น การเรียนรู้อย่างค่อยเป็นค่อยไปและเลือกรูปแบบการลงทุนที่เหมาะสมกับตนเองเป็นสิ่งสำคัญ ถ้ายังไม่มั่นใจในการเลือกหุ้นด้วยตนเอง การเริ่มต้นด้วยการลงทุนในกองทุนรวมอาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเลือกเทรดหุ้นเองหรือลงทุนผ่านกองทุนรวม สิ่งสำคัญคือ การมีวินัยในการลงทุน ศึกษาข้อมูลอย่างต่อเนื่อง และอดทนรอเวลาให้เงินเติบโตในระยะยาว เพราะนี่คือกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในการลงทุน
ขอขอบคุณข้อมูลจาก : บลจ.กสิกรไทย, ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย