เรียนรู้วิธีบันทึกรายรับรายจ่ายอย่างมืออาชีพ เพิ่มประสิทธิภาพการออมและการลงทุนด้วยเทคนิคง่ายๆ พร้อมเครื่องมือแนะนำจาก KBank Wealth PLUS

รายรับรายจ่าย คืออะไร? เริ่มต้นจัดการการเงินอย่างมีประสิทธิภาพต่อยอดความมั่งคั่ง

เรียนรู้วิธีบันทึกรายรับรายจ่ายอย่างมืออาชีพ เพิ่มประสิทธิภาพการออมและการลงทุนด้วยเทคนิคง่ายๆ พร้อมเครื่องมือแนะนำจาก KBank Wealth PLUS

กดฟัง
หยุด
  • การทำบัญชีรายรับรายจ่ายเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการบริหารเงินอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้เห็นภาพรวมทางการเงิน ควบคุมค่าใช้จ่าย และวางแผนการออมและการลงทุนได้อย่างเป็นระบบ
  • เทคนิคการทำบัญชีรายรับรายจ่ายที่เหมาะกับแต่ละกลุ่มเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็นมือใหม่ด้านการเงิน คนอยากเก็บออม หรือฟรีแลนซ์ที่มีรายได้ไม่แน่นอน ช่วยให้ประสบความสำเร็จในการบริหารเงินส่วนบุคคลและบรรลุเป้าหมายทางการเงินได้

ในยุคที่ค่าครองชีพสูงขึ้นและสภาวะเศรษฐกิจผันผวน การบริหารจัดการการเงินส่วนบุคคลอย่างมีประสิทธิภาพกลายเป็นทักษะจำเป็นสำหรับทุกคน การทำบัญชีรายรับรายจ่ายเป็นเครื่องมือพื้นฐานที่ช่วยให้ทราบถึงสถานะทางการเงินของตนเอง และเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการวางแผนการเงินระยะยาว วิธีบันทึกรายรับรายจ่ายอย่างมืออาชีพทำอย่างไร ติดตามได้ในบทความนี้


บัญชี "รายรับรายจ่าย" คืออะไร

บัญชีรายรับรายจ่าย คือ การบันทึกเงินที่เข้ามา (รายรับ) และเงินที่ใช้จ่ายออกไป (รายจ่าย) อย่างเป็นระบบ ทำให้เราทราบว่าในแต่ละช่วงเวลา มีเงินเข้ามาเท่าไร ใช้จ่ายไปเท่าไร จ่ายไปกับอะไร และคงเหลือสุทธิเท่าไร การทำบัญชีรายรับรายจ่ายอย่างสม่ำเสมอจะช่วยควบคุมพฤติกรรมการใช้จ่ายและสร้างความมั่นคงทางการเงินในระยะยาว


ประโยชน์ของการทำบัญชีรายรับรายจ่ายแตกต่างกันไปตามแต่ละกลุ่ม


สำหรับมือใหม่ด้านการเงิน การทำบัญชีรายรับรายจ่ายช่วยสร้างความตระหนักรู้ในพฤติกรรมการใช้จ่าย ช่วยควบคุมการใช้จ่ายฟุ่มเฟือย สร้างวินัยทางการเงินขั้นพื้นฐาน และทำให้เข้าใจความแตกต่างระหว่างสิ่งที่ "อยากได้" และ "จำเป็นต้องมี"


สำหรับผู้ที่ต้องการออมเงิน บัญชีรายรับรายจ่ายช่วยวางแผนและตั้งเป้าหมายการออมที่ชัดเจน ระบุโอกาสในการลดรายจ่ายเพื่อเพิ่มเงินออม ติดตามความก้าวหน้าในการออมเงินได้อย่างเป็นรูปธรรม และเพิ่มประสิทธิภาพในการเก็บออมโดยจัดสรรเงินในช่องทางการออมที่เหมาะสม


สำหรับฟรีแลนซ์และคนรุ่นใหม่ การทำบัญชีรายรับรายจ่ายช่วยบริหารรายได้ที่ไม่สม่ำเสมอให้เพียงพอตลอดทั้งเดือน วางแผนเงินออมให้สอดคล้องกับรายได้ที่ไม่แน่นอน แบ่งสัดส่วนรายได้จากโปรเจคต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม และสร้างความมั่นคงทางการเงินแม้ในช่วงที่มีงานไม่สม่ำเสมอ


เริ่มต้นจดบันทึกรายรับรายจ่ายง่ายๆ สำหรับมือใหม่

การเริ่มต้นทำบัญชีรายรับรายจ่ายไม่จำเป็นต้องซับซ้อน เริ่มต้นจากขั้นตอนง่ายๆ ดังนี้


  1. เลือกเครื่องมือที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของตัวเอง
  2. สมุดบันทึกหรือสเปรดชีตเหมาะสำหรับผู้ที่ชอบจดบันทึกด้วยมือหรือต้องการปรับแต่งรูปแบบได้อย่างอิสระ แอปพลิเคชันบนมือถือมีความสะดวก รวดเร็ว และมักมีฟีเจอร์ช่วยวิเคราะห์ค่าใช้จ่าย โดยแอปยอดนิยมสำหรับคนไทย เช่น Money Note, Moneytree, Money Manager, และแอป K PLUS ส่วนแพลตฟอร์มออนไลน์อย่าง Google Sheets หรือ Microsoft Excel ออนไลน์ สามารถเข้าถึงได้จากทุกอุปกรณ์


  3. กำหนดช่วงเวลาที่เหมาะสมในการบันทึก
  4. การบันทึกรายวันเหมาะกับผู้ที่มีค่าใช้จ่ายหลากหลายและต้องการควบคุมอย่างเข้มงวด การบันทึกรายสัปดาห์เหมาะกับผู้ที่มีรายจ่ายไม่มาก แต่ต้องการสรุปค่าใช้จ่ายเป็นระยะๆ และการบันทึกรายเดือนเหมาะกับผู้ที่มีรายจ่ายประจำที่ค่อนข้างคงที่และต้องการดูภาพรวม


  5. แบ่งหมวดหมู่ให้ชัดเจน

    หมวดหมู่พื้นฐานที่ควรมีในบัญชีรายรับรายจ่าย ได้แก่


    • รายรับ เช่น เงินเดือน โบนัส รายได้เสริม ดอกเบี้ย เงินปันผล
    • รายจ่ายคงที่ เช่น ค่าเช่า ค่าผ่อนบ้าน ค่าผ่อนรถ ค่าเบี้ยประกัน ค่าสาธารณูปโภค (ในแต่ละเดือนมักต่างกันไม่มาก)
    • รายจ่ายผันแปร เช่น ค่าอาหาร ค่าเดินทาง ค่าสันทนาการ ค่าชอปปิง
    • รายจ่ายฉุกเฉิน เช่น ค่ารักษาพยาบาล ค่าซ่อมแซมอุปกรณ์ที่เสียหาย
    • การออมและลงทุน เช่น เงินออม เงินลงทุนกองทุนรวม หุ้น ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์

ตัวอย่างการบันทึกแบบง่าย (รายวัน)



เทคนิคการทำงบประมาณแบบมืออาชีพ สำหรับคนอยากเก็บออม

การทำบัญชีรายรับรายจ่ายเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอสำหรับการสร้างความมั่งคั่ง จำเป็นต้องวางแผนงบประมาณอย่างเป็นระบบเพื่อให้มีเงินเหลือสำหรับการออมและการลงทุน


  1. แยกรายจ่ายคงที่กับรายจ่ายผันแปรอย่างชัดเจน
  2. รายจ่ายคงที่ คือค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายเป็นประจำและมีจำนวนเงินที่แน่นอน เช่น ค่าเช่า ค่าผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ค่าเบี้ยประกัน ส่วนรายจ่ายผันแปร คือค่าใช้จ่ายที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ เช่น ค่าอาหาร ค่าสังสรรค์ ค่าชอปปิง การแยกประเภทรายจ่ายจะช่วยให้เห็นว่ารายจ่ายใดสามารถลดหรือควบคุมได้เพื่อเพิ่มเงินออม


  3. ใช้เทคนิคการออมเงินแบบก้าวหน้า
  4. หลัก 50/30/20 คือการแบ่งเงินออกเป็น 50% สำหรับความจำเป็นพื้นฐาน (ที่อยู่อาศัย อาหาร การเดินทาง) 30% สำหรับสิ่งที่ต้องการ (สังสรรค์ ชอปปิง) และ 20% สำหรับการออมและลงทุน


    งบประมาณแบบ Zero-based คือการจัดสรรรายได้ทั้งหมดให้กับหมวดหมู่ต่างๆ จนไม่เหลือเงิน "ที่ไม่ได้วางแผน" โดยทุกบาททุกสตางค์ต้องมีหน้าที่ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการใช้จ่าย ชำระหนี้ หรือการออม


  5. ผสมผสานการลงทุนเข้ากับการทำบัญชีประจำวัน
  6. การตั้งค่าการโอนเงินอัตโนมัติช่วยจัดสรรเงินเข้าบัญชีออมทรัพย์หรือการลงทุนโดยอัตโนมัติทันทีที่ได้รับเงินเดือน ถือเป็นกลยุทธ์ "ออมก่อนใช้" โดยหักเงินออมออกก่อนที่จะนำไปใช้จ่าย และเริ่มลงทุนเงินก้อนเล็กก่อน แม้แต่เงินออม 500-1,000 บาทต่อเดือนก็สามารถเริ่มลงทุนในกองทุนรวมได้


บริหารเงินแบบยืดหยุ่นสำหรับฟรีแลนซ์และคนรุ่นใหม่

สำหรับผู้ที่มีรายได้ไม่แน่นอน การทำบัญชีรายรับรายจ่ายมีความท้าทายมากกว่า แต่ก็ยิ่งมีความสำคัญมากขึ้น


  1. เทคนิคจัดการเงินเมื่อรายได้ไม่แน่นอน
  2. ฟรีแลนซ์ควรมีเงินสำรอง 6-12 เท่าของค่าใช้จ่ายรายเดือนเพื่อรองรับช่วงที่งานน้อย โดยแบ่งรายได้แต่ละโปรเจคเป็นสัดส่วน เช่น 50% สำหรับค่าใช้จ่าย 30% สำหรับภาษีและประกันสังคม 20% สำหรับการออมและลงทุน และทำงบประมาณแบบต่ำสุดโดยคำนวณจากรายได้ที่น้อยที่สุดที่คาดว่าจะได้รับ ไม่ใช่รายได้เฉลี่ย


  3. กลยุทธ์การลงทุนแบบทยอยซื้อที่ปรับเปลี่ยนได้
  4. DCA (Dollar-Cost Averaging) แบบยืดหยุ่น คือการลงทุนมากขึ้นในเดือนที่มีรายได้มาก และลงทุนน้อยลงในเดือนที่มีรายได้น้อย แต่พยายามรักษาความสม่ำเสมอ นอกจากนี้ การลงทุนเป็นสัดส่วนของรายได้แทนที่จะกำหนดจำนวนเงินตายตัวก็เป็นอีกวิธีที่เหมาะกับผู้มีรายได้ไม่แน่นอน


  5. วิธีรับมือกับรายได้ที่ขึ้นๆ ลงๆ
  6. การสร้าง "บัญชีเรียบเรียง" ช่วยรวบรวมรายได้ทั้งหมดเข้าบัญชีหลัก แล้วจ่ายตัวเองเป็น "เงินเดือน" สม่ำเสมอทุกเดือน การสร้างรายได้หลายช่องทางช่วยลดความเสี่ยงจากการมีแหล่งรายได้เดียว โดยพยายามมีโปรเจคระยะสั้นและระยะยาวควบคู่กันไป และการบริหารภาษีโดยวางแผนภาษีล่วงหน้า กันเงินสำหรับจ่ายภาษีไว้ทันทีที่ได้รับรายได้


ข้อผิดพลาดที่มักทำเมื่อจัดการรายรับรายจ่าย

แม้จะตั้งใจทำบัญชีรายรับรายจ่าย แต่หลายคนมักเผชิญกับปัญหาเหล่านี้


  1. ใช้จ่ายเกินตัวในหมวดค่าใช้จ่ายผันแปร
  2. ปัญหานี้มักเกิดจากการตามใจตัวเองในการชอปปิง สังสรรค์ หรือทานอาหารนอกบ้าน วิธีแก้ไขคือ กำหนดงบประมาณรายสัปดาห์อย่างเคร่งครัด และอาจใช้เงินสดแทนบัตรเครดิต หรือแยกบัญชีเงินฝากเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายส่วนนี้ จะได้ให้เห็นเงินไหลออกอย่างชัดเจน


  3. ลืมวางแผนสำหรับค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ที่เกิดขึ้นไม่บ่อย
  4. ค่าซ่อมบ้าน หรือค่าใช้จ่ายตามเทศกาลต่างๆ มักทำให้งบประมาณเสียสมดุล วิธีแก้ไขคือ สร้าง "กองทุนฉุกเฉิน" สำหรับค่าใช้จ่ายเหล่านี้โดยเฉพาะ โดยแบ่งเก็บเป็นรายเดือน


  5. จดบันทึกแบบขาดๆ หายๆ ไม่ต่อเนื่อง
  6. การบันทึกเพียงบางรายการทำให้ภาพรวมทางการเงินผิดเพี้ยน วิธีแก้ไขคือ ใช้แอปพลิเคชันที่ง่ายต่อการบันทึก หรือกำหนดเวลาประจำในการอัปเดตบัญชี เช่น อัปเดตทุกคืนก่อนนอน


ก้าวจากการทำบัญชีธรรมดาสู่การลงทุนสร้างความมั่งคั่ง

เมื่อมีวินัยในการทำบัญชีรายรับรายจ่ายแล้ว ก้าวต่อไปคือ การนำเงินที่ออมได้ไปสร้างผลตอบแทนผ่านการลงทุน


  1. ผสมผสานการออมกับการลงทุนเพื่อสร้างความมั่นคง
  2. ควรแบ่งเงินออมเป็นหลายวัตถุประสงค์ ได้แก่ เงินสำรองฉุกเฉิน (3-6 เท่าของรายจ่ายต่อเดือน) เงินออมระยะสั้น (1-3 ปี) เงินลงทุนระยะยาว (มากกว่า 5 ปี) และเลือกช่องทางการลงทุนตามระดับความเสี่ยงที่รับได้ ตั้งแต่พันธบัตร หุ้นกู้ กองทุนรวม ไปจนถึงหุ้น


  3. Wealth PLUS ควบคู่กับการทำบัญชีรายรับรายจ่าย
  4. Wealth PLUS เป็นแพลตฟอร์มการลงทุนที่ช่วยให้คุณสามารถออมและลงทุนไปพร้อมๆ กับการบริหารรายรับรายจ่ายประจำวัน โดยมีฟีเจอร์ที่เป็นประโยชน์ เช่น แนะนำแผนการลงทุนที่เหมาะสม ตั้งเป้าหมายการออมและการลงทุนพร้อมติดตามความก้าวหน้า และบริการลงทุนรายเดือนตามแผนที่วางไว้


  5. เริ่มต้นลงทุนอัตโนมัติง่ายๆ แม้เงินเดือนน้อย
  6. การลงทุนแบบ DCA (Dollar-Cost Averaging) ช่วยให้ทยอยลงทุนสม่ำเสมอทุกเดือน ไม่ว่าตลาดจะขึ้นหรือลง การใช้ระบบหักเงินอัตโนมัติโดยตั้งค่าการหักเงินจากบัญชีเพื่อลงทุนโดยอัตโนมัติทันทีที่ได้รับเงินเดือน และแม้จะเริ่มต้นด้วยเงินจำนวนเล็กๆ เพียง 500-1,000 บาทต่อเดือน หากทำอย่างสม่ำเสมอก็สามารถเติบโตเป็นเงินก้อนใหญ่ได้


    ผลิตภัณฑ์ลงทุนแนะนำสำหรับผู้เริ่มต้น ได้แก่


    • กองทุนตราสารหนี้ ที่ลงทุนในเงินฝาก และตราสารหนี้ ทั้งภาครัฐและเอกชน เช่น กองทุน K-SF-A
    • กองทุนรวมผสม ที่กระจายความเสี่ยง โดยลงทุนในหุ้นและตราสารหนี้ เช่น กองทุน K-WPBALANCED

การทำบัญชีรายรับรายจ่ายเป็นทักษะสำคัญที่จะช่วยให้ประสบความสำเร็จในการบริหารการเงินส่วนบุคคล ช่วยให้มีวินัยทางการเงินที่ดีขึ้น ควบคุมค่าใช้จ่ายไม่จำเป็นได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีเงินออมและเงินลงทุนเพียงพอสำหรับอนาคต และเตรียมพร้อมรับมือกับเหตุการณ์ฉุกเฉินทางการเงิน


อย่ารอช้า เริ่มต้นทำบัญชีรายรับรายจ่ายวันนี้ด้วยวิธีที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของตัวเอง การเริ่มต้นอาจดูยากในตอนแรก แต่เมื่อทำเป็นนิสัยแล้ว จะเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงทางการเงินที่ชัดเจน และนั่นคือก้าวแรกสู่อิสรภาพทางการเงินที่ยั่งยืนในอนาคต


หมายเหตุ:
  • ระดับความเสี่ยงกองทุน
    • K-SF-A: ความเสี่ยงกองทุนระดับ 4
    • K-WPBALANCED: ความเสี่ยงกองทุนระดับ 5
  • นโยบายป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน
    • K-SF-A: ป้องกันความเสี่ยง 100%
    • K-WPBALANCED: ป้องกันความเสี่ยงตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน
  • ระยะเวลาการรับเงินค่าขายคืน (ตัวอย่างเช่น ระยะเวลาการรับเงินค่าขายคืน T+6 หมายถึง จะได้รับเงินค่าขายคืน 6 วันทำการถัดจากวันที่ทำรายการ (T+6) เช่น ขายคืนวันจันทร์ จะได้รับเงินค่าขายคืนวันอังคารของสัปดาห์ถัดไป (กรณีไม่มีวันหยุดอื่น นอกจากเสาร์-อาทิตย์))
    • K-SF-A: T+1
    • K-WPBALANCED: T+6

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : บลจ.กสิกรไทย


คำเตือน

“ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน”

ผู้เขียน

K WEALTHสุวิมล ยิ่งเจริญรุ่งโรจน์ CFP®

Back to top