ในยุคที่ค่าครองชีพสูงขึ้นและสภาวะเศรษฐกิจผันผวน การบริหารจัดการการเงินส่วนบุคคลอย่างมีประสิทธิภาพกลายเป็นทักษะจำเป็นสำหรับทุกคน การทำบัญชีรายรับรายจ่ายเป็นเครื่องมือพื้นฐานที่ช่วยให้ทราบถึงสถานะทางการเงินของตนเอง และเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการวางแผนการเงินระยะยาว วิธีบันทึกรายรับรายจ่ายอย่างมืออาชีพทำอย่างไร ติดตามได้ในบทความนี้
บัญชี "รายรับรายจ่าย" คืออะไร
บัญชีรายรับรายจ่าย คือ การบันทึกเงินที่เข้ามา (รายรับ) และเงินที่ใช้จ่ายออกไป (รายจ่าย) อย่างเป็นระบบ ทำให้เราทราบว่าในแต่ละช่วงเวลา มีเงินเข้ามาเท่าไร ใช้จ่ายไปเท่าไร จ่ายไปกับอะไร และคงเหลือสุทธิเท่าไร การทำบัญชีรายรับรายจ่ายอย่างสม่ำเสมอจะช่วยควบคุมพฤติกรรมการใช้จ่ายและสร้างความมั่นคงทางการเงินในระยะยาว
ประโยชน์ของการทำบัญชีรายรับรายจ่ายแตกต่างกันไปตามแต่ละกลุ่ม
สำหรับมือใหม่ด้านการเงิน การทำบัญชีรายรับรายจ่ายช่วยสร้างความตระหนักรู้ในพฤติกรรมการใช้จ่าย ช่วยควบคุมการใช้จ่ายฟุ่มเฟือย สร้างวินัยทางการเงินขั้นพื้นฐาน และทำให้เข้าใจความแตกต่างระหว่างสิ่งที่ "อยากได้" และ "จำเป็นต้องมี"
สำหรับผู้ที่ต้องการออมเงิน บัญชีรายรับรายจ่ายช่วยวางแผนและตั้งเป้าหมายการออมที่ชัดเจน ระบุโอกาสในการลดรายจ่ายเพื่อเพิ่มเงินออม ติดตามความก้าวหน้าในการออมเงินได้อย่างเป็นรูปธรรม และเพิ่มประสิทธิภาพในการเก็บออมโดยจัดสรรเงินในช่องทางการออมที่เหมาะสม
สำหรับฟรีแลนซ์และคนรุ่นใหม่ การทำบัญชีรายรับรายจ่ายช่วยบริหารรายได้ที่ไม่สม่ำเสมอให้เพียงพอตลอดทั้งเดือน วางแผนเงินออมให้สอดคล้องกับรายได้ที่ไม่แน่นอน แบ่งสัดส่วนรายได้จากโปรเจคต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม และสร้างความมั่นคงทางการเงินแม้ในช่วงที่มีงานไม่สม่ำเสมอ
เริ่มต้นจดบันทึกรายรับรายจ่ายง่ายๆ สำหรับมือใหม่
การเริ่มต้นทำบัญชีรายรับรายจ่ายไม่จำเป็นต้องซับซ้อน เริ่มต้นจากขั้นตอนง่ายๆ ดังนี้
-
เลือกเครื่องมือที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของตัวเอง
สมุดบันทึกหรือสเปรดชีตเหมาะสำหรับผู้ที่ชอบจดบันทึกด้วยมือหรือต้องการปรับแต่งรูปแบบได้อย่างอิสระ แอปพลิเคชันบนมือถือมีความสะดวก รวดเร็ว และมักมีฟีเจอร์ช่วยวิเคราะห์ค่าใช้จ่าย โดยแอปยอดนิยมสำหรับคนไทย เช่น Money Note, Moneytree, Money Manager, และแอป K PLUS ส่วนแพลตฟอร์มออนไลน์อย่าง Google Sheets หรือ Microsoft Excel ออนไลน์ สามารถเข้าถึงได้จากทุกอุปกรณ์
-
กำหนดช่วงเวลาที่เหมาะสมในการบันทึก
การบันทึกรายวันเหมาะกับผู้ที่มีค่าใช้จ่ายหลากหลายและต้องการควบคุมอย่างเข้มงวด การบันทึกรายสัปดาห์เหมาะกับผู้ที่มีรายจ่ายไม่มาก แต่ต้องการสรุปค่าใช้จ่ายเป็นระยะๆ และการบันทึกรายเดือนเหมาะกับผู้ที่มีรายจ่ายประจำที่ค่อนข้างคงที่และต้องการดูภาพรวม
-
แบ่งหมวดหมู่ให้ชัดเจน
หมวดหมู่พื้นฐานที่ควรมีในบัญชีรายรับรายจ่าย ได้แก่
-
รายรับ เช่น เงินเดือน โบนัส รายได้เสริม ดอกเบี้ย เงินปันผล
-
รายจ่ายคงที่ เช่น ค่าเช่า ค่าผ่อนบ้าน ค่าผ่อนรถ ค่าเบี้ยประกัน ค่าสาธารณูปโภค (ในแต่ละเดือนมักต่างกันไม่มาก)
-
รายจ่ายผันแปร เช่น ค่าอาหาร ค่าเดินทาง ค่าสันทนาการ ค่าชอปปิง
-
รายจ่ายฉุกเฉิน เช่น ค่ารักษาพยาบาล ค่าซ่อมแซมอุปกรณ์ที่เสียหาย
-
การออมและลงทุน เช่น เงินออม เงินลงทุนกองทุนรวม หุ้น ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์
ตัวอย่างการบันทึกแบบง่าย (รายวัน)
เทคนิคการทำงบประมาณแบบมืออาชีพ สำหรับคนอยากเก็บออม
การทำบัญชีรายรับรายจ่ายเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอสำหรับการสร้างความมั่งคั่ง จำเป็นต้องวางแผนงบประมาณอย่างเป็นระบบเพื่อให้มีเงินเหลือสำหรับการออมและการลงทุน
-
แยกรายจ่ายคงที่กับรายจ่ายผันแปรอย่างชัดเจน
รายจ่ายคงที่ คือค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายเป็นประจำและมีจำนวนเงินที่แน่นอน เช่น ค่าเช่า ค่าผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ค่าเบี้ยประกัน ส่วนรายจ่ายผันแปร คือค่าใช้จ่ายที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ เช่น ค่าอาหาร ค่าสังสรรค์ ค่าชอปปิง การแยกประเภทรายจ่ายจะช่วยให้เห็นว่ารายจ่ายใดสามารถลดหรือควบคุมได้เพื่อเพิ่มเงินออม
-
ใช้เทคนิคการออมเงินแบบก้าวหน้า
หลัก 50/30/20 คือการแบ่งเงินออกเป็น 50% สำหรับความจำเป็นพื้นฐาน (ที่อยู่อาศัย อาหาร การเดินทาง) 30% สำหรับสิ่งที่ต้องการ (สังสรรค์ ชอปปิง) และ 20% สำหรับการออมและลงทุน
งบประมาณแบบ Zero-based คือการจัดสรรรายได้ทั้งหมดให้กับหมวดหมู่ต่างๆ จนไม่เหลือเงิน "ที่ไม่ได้วางแผน" โดยทุกบาททุกสตางค์ต้องมีหน้าที่ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการใช้จ่าย ชำระหนี้ หรือการออม
-
ผสมผสานการลงทุนเข้ากับการทำบัญชีประจำวัน
การตั้งค่าการโอนเงินอัตโนมัติช่วยจัดสรรเงินเข้าบัญชีออมทรัพย์หรือการลงทุนโดยอัตโนมัติทันทีที่ได้รับเงินเดือน ถือเป็นกลยุทธ์ "ออมก่อนใช้" โดยหักเงินออมออกก่อนที่จะนำไปใช้จ่าย และเริ่มลงทุนเงินก้อนเล็กก่อน แม้แต่เงินออม 500-1,000 บาทต่อเดือนก็สามารถเริ่มลงทุนในกองทุนรวมได้
บริหารเงินแบบยืดหยุ่นสำหรับฟรีแลนซ์และคนรุ่นใหม่
สำหรับผู้ที่มีรายได้ไม่แน่นอน การทำบัญชีรายรับรายจ่ายมีความท้าทายมากกว่า แต่ก็ยิ่งมีความสำคัญมากขึ้น
-
เทคนิคจัดการเงินเมื่อรายได้ไม่แน่นอน
ฟรีแลนซ์ควรมีเงินสำรอง 6-12 เท่าของค่าใช้จ่ายรายเดือนเพื่อรองรับช่วงที่งานน้อย โดยแบ่งรายได้แต่ละโปรเจคเป็นสัดส่วน เช่น 50% สำหรับค่าใช้จ่าย 30% สำหรับภาษีและประกันสังคม 20% สำหรับการออมและลงทุน และทำงบประมาณแบบต่ำสุดโดยคำนวณจากรายได้ที่น้อยที่สุดที่คาดว่าจะได้รับ ไม่ใช่รายได้เฉลี่ย
-
กลยุทธ์การลงทุนแบบทยอยซื้อที่ปรับเปลี่ยนได้
DCA (Dollar-Cost Averaging) แบบยืดหยุ่น คือการลงทุนมากขึ้นในเดือนที่มีรายได้มาก และลงทุนน้อยลงในเดือนที่มีรายได้น้อย แต่พยายามรักษาความสม่ำเสมอ นอกจากนี้ การลงทุนเป็นสัดส่วนของรายได้แทนที่จะกำหนดจำนวนเงินตายตัวก็เป็นอีกวิธีที่เหมาะกับผู้มีรายได้ไม่แน่นอน
-
วิธีรับมือกับรายได้ที่ขึ้นๆ ลงๆ
การสร้าง "บัญชีเรียบเรียง" ช่วยรวบรวมรายได้ทั้งหมดเข้าบัญชีหลัก แล้วจ่ายตัวเองเป็น "เงินเดือน" สม่ำเสมอทุกเดือน การสร้างรายได้หลายช่องทางช่วยลดความเสี่ยงจากการมีแหล่งรายได้เดียว โดยพยายามมีโปรเจคระยะสั้นและระยะยาวควบคู่กันไป และการบริหารภาษีโดยวางแผนภาษีล่วงหน้า กันเงินสำหรับจ่ายภาษีไว้ทันทีที่ได้รับรายได้
ข้อผิดพลาดที่มักทำเมื่อจัดการรายรับรายจ่าย
แม้จะตั้งใจทำบัญชีรายรับรายจ่าย แต่หลายคนมักเผชิญกับปัญหาเหล่านี้
-
ใช้จ่ายเกินตัวในหมวดค่าใช้จ่ายผันแปร
ปัญหานี้มักเกิดจากการตามใจตัวเองในการชอปปิง สังสรรค์ หรือทานอาหารนอกบ้าน วิธีแก้ไขคือ กำหนดงบประมาณรายสัปดาห์อย่างเคร่งครัด และอาจใช้เงินสดแทนบัตรเครดิต หรือแยกบัญชีเงินฝากเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายส่วนนี้ จะได้ให้เห็นเงินไหลออกอย่างชัดเจน
-
ลืมวางแผนสำหรับค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ที่เกิดขึ้นไม่บ่อย
ค่าซ่อมบ้าน หรือค่าใช้จ่ายตามเทศกาลต่างๆ มักทำให้งบประมาณเสียสมดุล วิธีแก้ไขคือ สร้าง "กองทุนฉุกเฉิน" สำหรับค่าใช้จ่ายเหล่านี้โดยเฉพาะ โดยแบ่งเก็บเป็นรายเดือน
-
จดบันทึกแบบขาดๆ หายๆ ไม่ต่อเนื่อง
การบันทึกเพียงบางรายการทำให้ภาพรวมทางการเงินผิดเพี้ยน วิธีแก้ไขคือ ใช้แอปพลิเคชันที่ง่ายต่อการบันทึก หรือกำหนดเวลาประจำในการอัปเดตบัญชี เช่น อัปเดตทุกคืนก่อนนอน
ก้าวจากการทำบัญชีธรรมดาสู่การลงทุนสร้างความมั่งคั่ง
เมื่อมีวินัยในการทำบัญชีรายรับรายจ่ายแล้ว ก้าวต่อไปคือ การนำเงินที่ออมได้ไปสร้างผลตอบแทนผ่านการลงทุน
-
ผสมผสานการออมกับการลงทุนเพื่อสร้างความมั่นคง
ควรแบ่งเงินออมเป็นหลายวัตถุประสงค์ ได้แก่ เงินสำรองฉุกเฉิน (3-6 เท่าของรายจ่ายต่อเดือน) เงินออมระยะสั้น (1-3 ปี) เงินลงทุนระยะยาว (มากกว่า 5 ปี) และเลือกช่องทางการลงทุนตามระดับความเสี่ยงที่รับได้ ตั้งแต่พันธบัตร หุ้นกู้ กองทุนรวม ไปจนถึงหุ้น
-
Wealth PLUS ควบคู่กับการทำบัญชีรายรับรายจ่าย
Wealth PLUS เป็นแพลตฟอร์มการลงทุนที่ช่วยให้คุณสามารถออมและลงทุนไปพร้อมๆ กับการบริหารรายรับรายจ่ายประจำวัน โดยมีฟีเจอร์ที่เป็นประโยชน์ เช่น แนะนำแผนการลงทุนที่เหมาะสม ตั้งเป้าหมายการออมและการลงทุนพร้อมติดตามความก้าวหน้า และบริการลงทุนรายเดือนตามแผนที่วางไว้
-
เริ่มต้นลงทุนอัตโนมัติง่ายๆ แม้เงินเดือนน้อย
การลงทุนแบบ DCA (Dollar-Cost Averaging) ช่วยให้ทยอยลงทุนสม่ำเสมอทุกเดือน ไม่ว่าตลาดจะขึ้นหรือลง การใช้ระบบหักเงินอัตโนมัติโดยตั้งค่าการหักเงินจากบัญชีเพื่อลงทุนโดยอัตโนมัติทันทีที่ได้รับเงินเดือน และแม้จะเริ่มต้นด้วยเงินจำนวนเล็กๆ เพียง 500-1,000 บาทต่อเดือน หากทำอย่างสม่ำเสมอก็สามารถเติบโตเป็นเงินก้อนใหญ่ได้
ผลิตภัณฑ์ลงทุนแนะนำสำหรับผู้เริ่มต้น ได้แก่
-
กองทุนตราสารหนี้ ที่ลงทุนในเงินฝาก และตราสารหนี้ ทั้งภาครัฐและเอกชน เช่น กองทุน K-SF-A
-
กองทุนรวมผสม ที่กระจายความเสี่ยง โดยลงทุนในหุ้นและตราสารหนี้ เช่น กองทุน K-WPBALANCED
การทำบัญชีรายรับรายจ่ายเป็นทักษะสำคัญที่จะช่วยให้ประสบความสำเร็จในการบริหารการเงินส่วนบุคคล ช่วยให้มีวินัยทางการเงินที่ดีขึ้น ควบคุมค่าใช้จ่ายไม่จำเป็นได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีเงินออมและเงินลงทุนเพียงพอสำหรับอนาคต และเตรียมพร้อมรับมือกับเหตุการณ์ฉุกเฉินทางการเงิน
อย่ารอช้า เริ่มต้นทำบัญชีรายรับรายจ่ายวันนี้ด้วยวิธีที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของตัวเอง การเริ่มต้นอาจดูยากในตอนแรก แต่เมื่อทำเป็นนิสัยแล้ว จะเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงทางการเงินที่ชัดเจน และนั่นคือก้าวแรกสู่อิสรภาพทางการเงินที่ยั่งยืนในอนาคต
หมายเหตุ:
-
ระดับความเสี่ยงกองทุน
- K-SF-A: ความเสี่ยงกองทุนระดับ 4
- K-WPBALANCED: ความเสี่ยงกองทุนระดับ 5
-
นโยบายป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน
- K-SF-A: ป้องกันความเสี่ยง 100%
- K-WPBALANCED: ป้องกันความเสี่ยงตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน
-
ระยะเวลาการรับเงินค่าขายคืน (ตัวอย่างเช่น ระยะเวลาการรับเงินค่าขายคืน T+6 หมายถึง จะได้รับเงินค่าขายคืน 6 วันทำการถัดจากวันที่ทำรายการ (T+6) เช่น ขายคืนวันจันทร์ จะได้รับเงินค่าขายคืนวันอังคารของสัปดาห์ถัดไป (กรณีไม่มีวันหยุดอื่น นอกจากเสาร์-อาทิตย์))
- K-SF-A: T+1
- K-WPBALANCED: T+6
ขอขอบคุณข้อมูลจาก : บลจ.กสิกรไทย