ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา “การลงทุนอย่างยั่งยืน” หรือ ESG (Environmental, Social, and Governance) ได้รับความสนใจมากขึ้นทั้งจากนักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนสถาบัน เนื่องจากเป็นแนวทางการลงทุนที่คำนึงถึงปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงในระยะยาวและอาจเปิดโอกาสเติบโตอย่างยั่งยืนได้อีกด้วย
ขณะเดียวกัน การลงทุนในรูปแบบ LTF (Long-Term Equity Fund) เก่า ได้ครบกำหนดการถือครองตามเงื่อนไขทั้งหมดในปีนี้ ได้สร้างแรงกดดันให้เกิดการเทขายหน่วยลงทุนในตลาดหุ้น ส่งผลให้ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ออกแนวทางใหม่ “Thai ESG Extra” หรือ “Thai ESGX” เพื่อจูงใจให้นักลงทุนต่อยอดหรือโยกย้ายเงินลงทุน LTF เก่าให้คงอยู่ในตลาดหุ้นไทยต่อไป อีกทั้งยังสนับสนุนให้นักลงทุนหันมาให้ความสำคัญกับการลงทุนแบบยั่งยืนด้าน ESG ไปพร้อม ๆ กัน
Thai ESG Extra (Thai ESGX) คืออะไร
Thai ESG Extra หรือ Thai ESGX คือกองทุนรวมกลุ่มใหม่ในหมวด “Thai ESG” ที่มุ่งเน้นลงทุนในหลักทรัพย์หรือธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการที่ดี (ESG) เช่นเดียวกับกองทุน Thai ESG ที่มีอยู่เดิม* แต่เพิ่มเงื่อนไขพิเศษด้านสิทธิประโยชน์ทางภาษีขึ้นมาเป็นการเฉพาะในช่วงเวลาที่กำหนด ซึ่งมีเป้าหมายสำคัญสองประการคือ
- ส่งเสริมให้เกิดการลงทุนในธุรกิจที่ยั่งยืน
- กระตุ้นให้เงินลงทุนยังคงหมุนเวียนในตลาดหุ้นไทย โดยเฉพาะในปี 2568 นี้ LTF ทั้งหมดจะสามารถขายคืนได้ตามเงื่อนไขสิทธิประโยชน์ทางภาษี
หมายเหตุ: นโยบายการลงทุนของ Thai ESGX จะมีการคัดเลือกหุ้นและดัชนีอ้างอิงตามแบบกองทุน Thai ESG ซึ่งใช้ดัชนี SETESG เป็นเกณฑ์ โดยต้องมีการลงทุนในหุ้นกลุ่มความยั่งยืน โดยเฉลี่ยรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 65 ของ NAV
เหตุผลสำคัญที่ต้องออก Thai ESGX
- ช่วยประคองตลาดหุ้นไทยในช่วง LTF ครบกำหนด
ในปีนี้ LTF ทั้งหมด ครบกำหนดการถือครอง นักลงทุนจึงมีสิทธิขายหน่วยลงทุนออกมาได้อย่างอิสระ ซึ่งได้ส่งผลกระทบให้มีแรงเทขายสูงในตลาดหุ้นไทยและกระทบสภาพคล่องโดยรวม (ปัจจุบัน LTF ที่ยังคงเหลืออยู่รวม 1.88 แสนล้านบาท ข้อมูลจาก AIMC ณ สิ้นม.ค. 2568)
-
ต่อยอดแนวทางการลงทุนอย่างยั่งยืน
ภาครัฐและ ก.ล.ต. ต้องการส่งเสริมให้เกิดการลงทุนที่คำนึงถึงมิติด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ซึ่งเป็นเทรนด์การลงทุนระดับโลกและมองว่าอาจสร้างความยั่งยืนในระยะยาวทั้งต่อบริษัทและตลาดทุนไทย
-
เพิ่มสิทธิประโยชน์ด้านภาษีเพื่อดึงดูดนักลงทุน
การให้สิทธิประโยชน์ภาษีเพิ่มเติมช่วยกระตุ้นให้นักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนสถาบันหันมาให้ความสนใจโอนเงินจาก LTF เดิมหรือใส่เงินใหม่เข้าสู่กองทุน ESG มากขึ้น เป็นการผสานเป้าหมายการประคองตลาดหุ้นและขับเคลื่อนแนวคิด ESG ควบคู่กัน
สิทธิประโยชน์ทางภาษีของ Thai ESGX
แม้กองทุนกลุ่ม Thai ESG ปกติจะมีสิทธิลดหย่อนภาษีได้ถึง 30% ของเงินได้พึงประเมิน สูงสุดไม่เกิน 300,000 บาทต่อปี และต้องถือหน่วยลงทุนไม่น้อยกว่า 5 ปี แต่กองทุน Thai ESGX เพิ่มความพิเศษขึ้นมา โดยเฉพาะในปี 2568 ดังนี้
-
เงินลงทุนใหม่ (สำหรับปีภาษี 2568)
- ลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมิน สูงสุด 300,000 บาท
- คาดว่าจะเปิดให้ลงทุนในช่วง 1 พ.ค. – 30 มิ.ย. 2568 (ระยะเวลา 2 เดือน)
- ต้องถือหน่วยลงทุนอย่างน้อย 5 ปี (นับตั้งแต่วันที่ซื้อ)
-
เงินลงทุน LTF ที่มีอยู่ (กรณีถือครบเงื่อนไขแล้ว) และต้องการประหยัดภาษีต่อ
-
ต้องโอนหน่วย LTF เดิมทั้งหมด ไปกองทุน Thai ESGX ทั้งหมด โดยไม่สามารถโอนบางส่วนได้ และต้องสับเปลี่ยนให้ครบทุกกอง ทุกบลจ. จึงจะได้รับสิทธิลดหย่อนภาษี โดยสิทธิสูงสุดได้ไม่เกิน 500,000 บาท แบ่งเป็น
- ปีแรก (เฉพาะปี 2568) ลดหย่อนได้สูงสุด 300,000 บาท
- ส่วนอีก 200,000 บาท ทยอยใช้สิทธิในปีที่ 2 (ปี 2569) ถึงปีที่ 5 (ปี 2572) ได้ปีละไม่เกิน 50,000 บาท (โดยยังคงเงื่อนไขไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมิน และต้องถือหน่วยลงทุนอย่างน้อย 5 ปี )
ซึ่งผู้ถือหน่วยลงทุนต้องแจ้งย้ายกองทุนภายใน 2 เดือน หลังจากจัดตั้งกองทุน แต่ไม่เกินเดือน มิ.ย. 2668
- เงินลงทุนส่วนที่เกินกว่า 500,000 บาท ทั้งหมด ที่ถูกโอนไปพร้อมกัน ก็จะต้องถือครองอย่างน้อย 5 ปี ด้วยเช่นกัน
- กรณีมียอด LTF เดิมไม่ถึง 500,000 บาท สามารถใช้สิทธิได้เท่ากับจำนวนที่มีอยุ่เท่านั้น
หลังปี 2568 การลงทุนใหม่เข้ากองทุน Thai ESGX จะใช้วงเงินลดหย่อนเดียวกับ Thai ESG
ตั้งแต่ปี 2569 เป็นต้นไป เงินลงทุนใหม่หรือเงินที่เติมเพิ่มเข้าใน Thai ESGX จะใช้อัตราและวงเงินลดหย่อนภาษีร่วมกับกองทุนในกลุ่ม Thai ESG เดิม ซึ่งกฎหมายกำหนดให้ลดหย่อนได้สูงสุด 30% ของเงินได้พึงประเมิน ไม่เกิน 300,000 บาทต่อปี และต้องถือหน่วยลงทุนไม่น้อยกว่า 5 ปี เหมือนกองทุน Thai ESG ปกติ
มุมมองและคำแนะนำสำหรับนักลงทุน
ปัจจุบัน K WEALTH ยังมีมุมมองเป็นกลาง (Neutral) กับตลาดหุ้นไทย จากปัญหาเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจของไทย และภาวะหนี้ครัวเรือนสูง แต่คาดว่ามาตรการที่ออกมานี้จะทำให้ความเสี่ยงด้านขาลง (Downside) ของตลาดหุ้นไทยมีจำกัด
สำหรับนักลงทุนที่มีเป้าหมายลงทุนระยะยาวและต้องการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีให้เต็มที่ อาจพิจารณาดังนี้
ผู้ที่ยังมี LTF เหลืออยู่ (ยังไม่เคยขาย หรือ เคยขายออกบางส่วน)
-
โอน LTF เดิม ไปยัง Thai ESGX
หากถือ LTF ครบเงื่อนไขแล้ว และยังไม่ได้ขาย หรือยังเหลือบางส่วน สามารถโอนหน่วยลงทุนทั้งหมดไปยัง Thai ESGX เพื่อรับสิทธิประโยชน์ลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 300,000 บาท ในปีแรก (ปี 2568) และ ทยอยใช้สิทธิในปีที่ 2 (ปี 2569) ถึงปีที่ 5 (ปี 2572) ได้ปีละไม่เกิน 50,000 บาท รวมสูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท (ภายใต้เงื่อนไขไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมิน และในช่วงเวลา 2 เดือนหลังจากจัดตั้งกองทุน แต่ไม่เกินสิ้นเดือนมิ.ย. 2568)
ผู้ที่ขาย LTF ออกไปแล้วทั้งหมด หรือไม่เคยมี LTF มาก่อน
- ซื้อ Thai ESGX เพิ่ม ช่วง พ.ค. – มิ.ย.
ในช่วงเวลาที่คาดว่าจะกำหนด (1 พ.ค. – 30 มิ.ย. 2568) นักลงทุนสามารถ “ซื้อเพิ่ม” ใน Thai ESGX เพื่อขอรับสิทธิประโยชน์ลดหย่อนอีก 300,000 บาท (ตามเงื่อนไข 30% ของรายได้เช่นกัน)
กรณีที่ลูกค้าลงทุนเงินใหม่และโอนเงินจาก LTF เดิม จะสามารถรับสิทธิ์ลดหย่อนภาษีปี 2568 จากกองทุน Thai ESGX ได้สูงสุด 600,000 บาท
- สามารถลงทุนในกองทุน Thai ESG แบบปกติ (TESG) ได้ทันที (ไม่กำหนดช่วงเวลา)
นอกเหนือจากสิทธิใน Thai ESGX ที่คาดว่าจะเปิดขายในช่วง 1 พ.ค. – 30 มิ.ย. 2568 แล้วผู้ลงทุนสามารถเลือกลงทุนในกองทุน Thai ESG แบบปกติ ได้อีก 300,000 บาท ซึ่งอาจเลือกลงทุนในรูปแบบตราสารหนี้ เช่น K-ESGSI-ThaiESG หรือ กองทุนผสม (Mixed Fund) เช่น K-BL30-ThaiESG เพื่อกระจายความเสี่ยง โดยสามารถทยอยซื้อได้ตั้งแต่ต้นปี หรือทยอยลงทุนด้วยการ DCA ได้
หมายเหตุ: ข้อมูลทั้งหมดอ้างอิงตามประกาศและแนวทางจาก ก.ล.ต. ณ วันที่ 11 มี.ค. 2568 โปรดติดตามข้อมูลหรือสอบถามผู้แนะนำการลงทุนก่อนตัดสินใจ
กองทุนแนะนำ
-
ผู้ที่รับความเสี่ยงจากการลงทุนได้จำกัด
- K-ESGSI-ThaiESG กองทุนเน้นลงทุนตราสารที่ออกโดยภาครัฐ มีความเสี่ยงด้านเครดิตต่ำ ยิ่งลงทุนยาว ยิ่งมีโอกาสได้ผลตอบแทนที่มากขึ้นจาก ตราสารอายุเฉลี่ย 8-9 ปี โดยเฉพาะช่วงที่ทิศทางดอกเบี้ยเป็นขาลง
-
ผู้ที่รับความเสี่ยงจากการลงทุนได้
- K-BL30-ThaiESG กองทุนผสมที่เน้นลงทุนในตราสารหนี้ 70% และหุ้นอีก 30% ของบริษัทที่คำนึงถึงปัจจัย ESG โดยผ่านการวิเคราะห์อย่างเข้มข้นทั้งข้อมูลในเชิงคุณภาพและการบริหารทางการเงินอย่างยั่งยืน
- กองทุนรวมผสม K-WealthPLUS Series* กองทุนมีกลยุทธ์กระจายการลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภททั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นหุ้น ตราสารหนี้ หรือสินทรัพย์ทางเลือก เพื่อรับกับความผันผวนจากสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน ได้แก่
- กองทุน K-WPBALANCED และ K-WPSPEEDUP (ระดับความเสี่ยง 5 จาก 8 ระดับ)
- กองทุน K-WPULTIMATE (ระดับความเสี่ยง 6 จาก 8 ระดับ)