ในยุคดิจิทัล การทำธุรกรรมทางการเงินเป็นเรื่องง่าย และสะดวก รวดเร็ว แม้คนที่ยังไม่เคยเปิดบัญชีมาก่อนก็สามารถยืนยันตัวตนแบบ e-KYC และเปิดบัญชีได้ด้วยตัวเอง แล้ว e-KYC คืออะไร มีความสำคัญอย่างไร และช่วยเปิดประตูไปสู่โลกของการลงทุนได้อย่างไร ติดตามได้ในบทความนี้
ยืนยันตัวตน e-KYC คืออะไร? เริ่มต้นง่ายๆ ได้ในไม่กี่ขั้นตอน
การยืนยันตัวตนทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-KYC (Electronic Know Your Customer) เป็นกระบวนการตรวจสอบและพิสูจน์ตัวตนของลูกค้าผ่านช่องทางดิจิทัล ที่พัฒนาขึ้นเพื่อทดแทนการยืนยันตัวตนแบบดั้งเดิมที่ต้องเดินทางไปทำธุรกรรมที่สาขาของธนาคารหรือสถาบันการเงิน
ในยุคที่ทุกคนใช้ชีวิตบนโลกดิจิทัลมากขึ้น e-KYC จึงเป็นเหมือนกุญแจสำคัญที่เปิดประตูสู่โลกการลงทุนออนไลน์ โดยที่คุณไม่จำเป็นต้องเสียเวลาเดินทางหรือรอคิวที่สาขา สามารถยืนยันตัวตนได้ด้วยตนเองผ่านแอปพลิเคชัน K PLUS เพียงไม่กี่นาที ด้วยขั้นตอนที่เข้าใจง่ายและปลอดภัย
e-KYC ไม่เพียงแต่เป็นการยืนยันว่า "คุณคือคุณจริงๆ" แต่ยังเป็นการยกระดับความปลอดภัยให้กับระบบการเงินดิจิทัล ป้องกันการฉ้อโกง การสวมรอยเป็นบุคคลอื่น และรักษาความเป็นส่วนตัวของข้อมูลส่วนบุคคล รวมถึงช่วยให้สถาบันการเงินปฏิบัติตามกฎระเบียบและข้อบังคับจากหน่วยงานกำกับดูแลได้อย่างถูกต้อง
KYC ย่อมาจากอะไร และทำไมจึงสำคัญ?
KYC ย่อมาจาก "Know Your Customer" หรือ "การรู้จักลูกค้าของคุณ" เป็นกระบวนการที่สถาบันการเงินต้องดำเนินการเพื่อยืนยันตัวตนของลูกค้าก่อนให้บริการทางการเงิน ซึ่งมีจุดประสงค์หลักคือ
-
ป้องกันการฟอกเงินและการทุจริต KYC ช่วยให้สถาบันการเงินสามารถตรวจสอบและระบุลูกค้าที่อาจมีความเสี่ยงหรือเกี่ยวข้องกับกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย
-
ยืนยันตัวตนที่แท้จริง ป้องกันการปลอมแปลงตัวตนและการสวมรอยเพื่อทำธุรกรรมทางการเงิน
-
สอดคล้องกับข้อกำหนดทางกฎหมาย สถาบันการเงินต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงาน ก.ล.ต. และหน่วยงานกำกับดูแลอื่นๆ
-
สร้างความน่าเชื่อถือ ระบบการเงินที่มีการตรวจสอบที่เข้มงวดจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ใช้บริการ
ในอดีต KYC มักทำโดยการไปพบเจ้าหน้าที่ที่สาขาธนาคารหรือสถาบันการเงินพร้อมเอกสารยืนยันตัวตน ซึ่งต้องใช้เวลาและไม่สะดวกสำหรับผู้ใช้บริการ ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี จึงเกิดการพัฒนาระบบ e-KYC ที่สามารถทำผ่านช่องทางดิจิทัลได้อย่างปลอดภัย
ทำไมต้องยืนยันตัวตนด้วย e-KYC?
การยืนยันตัวตนด้วย e-KYC มีข้อดีและประโยชน์มากมายที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ในยุคดิจิทัล ดังนี้
ข้อดีสำหรับผู้ใช้บริการ
- ความสะดวกรวดเร็ว สามารถทำได้ทุกที่ทุกเวลาผ่านสมาร์ทโฟน ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที
- ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย ลดการเดินทาง การรอคิวที่สาขา และค่าใช้จ่ายในการเดินทาง
- ความปลอดภัยสูง ระบบ e-KYC ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยระดับสูงจากสำนักงาน ก.ล.ต. มีการเข้ารหัสข้อมูลและการยืนยันตัวตนหลายขั้นตอน
- ทำได้ด้วยตนเอง ขั้นตอนเข้าใจง่าย มีคำแนะนำชัดเจน ไม่ต้องพึ่งพาเจ้าหน้าที่
- เข้าถึงบริการลงทุนได้ทันที หลังจากทำ e-KYC เสร็จ สามารถเริ่มต้นลงทุนได้ทันที ไม่ต้องรอ
ความน่าเชื่อถือและความปลอดภัย
ระบบ e-KYC ต้องได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และธนาคารแห่งประเทศไทย โดยมีการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยในการตรวจสอบและพิสูจน์ตัวตน เช่น
- การตรวจสอบความถูกต้องของเอกสารยืนยันตัวตน
- การสแกนใบหน้าและเปรียบเทียบกับรูปในเอกสาร
- การตรวจจับการเคลื่อนไหวของใบหน้าเพื่อยืนยันว่าเป็นบุคคลจริง ไม่ใช่รูปภาพ
- การเข้ารหัสข้อมูลและการเก็บรักษาข้อมูลตามมาตรฐานความปลอดภัยระดับสูง
วิธีลงทะเบียน e-KYC ต้องทำอย่างไร?
การลงทะเบียน e-KYC ผ่านแอปพลิเคชัน K PLUS ทำได้ง่ายๆ เพียงไม่กี่ขั้นตอน ดังนี้
- เข้าสู่แอป K PLUS ด้วยชื่อผู้ใช้และรหัสผ่านของคุณ
- ไปที่เมนู "ลงทุน" จากนั้นเลือก "เปิดบัญชีลงทุน"
- เลือก "เริ่มต้น e-KYC" และกด "ยอมรับข้อตกลงและเงื่อนไข"
- อัปโหลดเอกสารยืนยันตัวตน โดยเลือกจาก
- บัตรประจำตัวประชาชน
- หนังสือเดินทาง (กรณีชาวต่างชาติ)
- ถ่ายภาพตัวเอง (เซลฟี่) ตามคำแนะนำบนหน้าจอ เพื่อเปรียบเทียบกับรูปในเอกสาร
- ยืนยันข้อมูลส่วนตัว ตรวจสอบความถูกต้องของชื่อ-นามสกุล ที่อยู่ อาชีพ รายได้ และข้อมูลอื่นๆ
- ตอบคำถามเพื่อประเมินความเสี่ยง วิเคราะห์ระดับความเสี่ยงที่เหมาะสมกับการลงทุนของคุณ
- ยืนยันการทำรายการ ด้วยรหัส OTP ที่ส่งไปยังหมายเลขโทรศัพท์ของคุณ
เคล็ดลับการทำ e-KYC ให้สำเร็จในครั้งแรก
- ทำในบริเวณที่มีแสงสว่างเพียงพอ
- ใช้เอกสารตัวจริงที่ยังไม่หมดอายุ
- ตรวจสอบความชัดเจนของภาพถ่ายเอกสารและใบหน้า
- กรอกข้อมูลให้ถูกต้องครบถ้วนตามความเป็นจริง
- หลีกเลี่ยงการสวมแว่นตา หมวก หรืออุปกรณ์ที่บดบังใบหน้าขณะถ่ายภาพ
เมื่อการยืนยันตัวตนผ่านระบบ e-KYC เสร็จสมบูรณ์ คุณจะได้รับการแจ้งเตือนผ่านแอป K PLUS และสามารถเริ่มใช้บริการลงทุนได้ทันที
หลังจากทำ e-KYC แล้ว สามารถทำอะไรต่อได้บ้าง?
หลังจากที่คุณผ่านการยืนยันตัวตนด้วย e-KYC แล้ว ประตูแห่งโอกาสในการลงทุนและบริการทางการเงินดิจิทัลจะเปิดกว้าง สามารถทำธุรกรรมต่างๆ ได้มากมาย ดังนี้
-
เข้าถึงบริการลงทุนออนไลน์แบบครบวงจร
- ซื้อขายกองทุนรวมจากหลากหลายบริษัทจัดการกองทุน
- ลงทุนในหุ้นไทยและหุ้นต่างประเทศ
- ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลและตราสารหนี้
- ทำธุรกรรมที่มีมูลค่าสูงได้
ธนาคารและสถาบันการเงินมักจำกัดวงเงินในการทำธุรกรรมสำหรับบัญชีที่ยังไม่ผ่านการยืนยันตัวตนด้วย e-KYC ซึ่งหลังจากยืนยันตัวตนแล้ว คุณจะสามารถ
- โอนเงินในวงเงินที่สูงขึ้น
- ทำธุรกรรมทางการเงินที่มีมูลค่าสูงได้อย่างปลอดภัย
- ใช้บริการพิเศษอื่นๆ ที่ต้องการการยืนยันตัวตนระดับสูง
-
เริ่มต้นลงทุนด้วยบริการ Wealth PLUS
หนึ่งในบริการพิเศษที่คุณสามารถเข้าถึงได้หลังจากทำ e-KYC คือ บริการ Wealth PLUS ผู้ช่วยอัจฉริยะในการลงทุนที่จะช่วยให้การลงทุนของคุณง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
เริ่มต้นลงทุนง่ายๆ ด้วย Wealth PLUS เหมาะกับมือใหม่ทุกคน
Wealth PLUS คือ ระบบผู้ช่วยอัจฉริยะด้านการลงทุน (Robo-Advisor) เพื่อช่วยให้ทุกคนสามารถเริ่มต้นลงทุนได้อย่างมั่นใจ แม้ไม่มีความรู้เรื่องการลงทุนมาก่อน
จุดเด่นของ Wealth PLUS
-
วางแผนการลงทุนแบบส่วนตัว วิเคราะห์ข้อมูลและพฤติกรรมของคุณเพื่อสร้างพอร์ตการลงทุนที่เหมาะสมกับเป้าหมาย ระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ และระยะเวลาลงทุนของคุณ
-
ระบบแนะนำพอร์ตอัตโนมัติ แนะนำการจัดสรรสินทรัพย์ที่เหมาะสม โดยใช้อัลกอริทึมการลงทุนที่พัฒนาร่วมกับผู้เชี่ยวชาญในวงการการเงิน
-
กระจายความเสี่ยงอย่างมืออาชีพ กระจายการลงทุนให้ครอบคลุมสินทรัพย์หลากหลายประเภท ทั้งหุ้น ตราสารหนี้ และสินทรัพย์ทางเลือกทั่วโลก
-
ลงทุนแบบ DCA ง่ายๆ ระบบจะช่วยให้คุณลงทุนแบบสม่ำเสมอด้วยบริการลงทุนรายเดือน Dollar-Cost Averaging (DCA) เพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาด
-
ติดตามและปรับพอร์ตอัตโนมัติ ระบบติดตามและวิเคราะห์ผลการดำเนินงานของพอร์ตการลงทุน พร้อมปรับพอร์ตการลงทุนให้ทันสถานการณ์
เริ่มต้นใช้งาน Wealth PLUS ได้อย่างไร?
หลังจากทำ e-KYC เสร็จสิ้น คุณสามารถเริ่มใช้บริการ Wealth PLUS ได้ง่าย ๆ ผ่านแอป K PLUS ดังนี้
- เข้าสู่แอป K PLUS และไปที่เมนู "ลงทุน"
- เลือก "Wealth PLUS" และกด "เริ่มวางแผน"
- ตอบคำถามเพื่อประเมินเป้าหมายการลงทุนและระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
- ระบบจะแนะนำพอร์ตการลงทุนที่เหมาะสมสำหรับคุณ
- เลือกจำนวนเงินที่ต้องการลงทุนและยืนยันการลงทุน
Wealth PLUS เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นลงทุนและนักลงทุนที่มีประสบการณ์ที่ต้องการความสะดวกในการจัดพอร์ตการลงทุนโดยทีมผู้เชี่ยวชาญ
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ e-KYC และการลงทุน
-
ข้อมูลส่วนตัวของฉันจะปลอดภัยหรือไม่?
ความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลมีความสำคัญเป็นอย่างมาก ระบบ e-KYC ใช้เทคโนโลยีการเข้ารหัสขั้นสูงและปฏิบัติตามมาตรฐานการรักษาความปลอดภัยระดับสากล นอกจากนี้ ข้อมูลของคุณจะถูกใช้เฉพาะเพื่อวัตถุประสงค์ในการยืนยันตัวตนและการให้บริการทางการเงินเท่านั้น
-
ต้องใช้เอกสารอะไรบ้างในการทำ e-KYC?
สำหรับคนไทย ใช้เพียงบัตรประจำตัวประชาชนที่ยังไม่หมดอายุ สำหรับชาวต่างชาติ ใช้หนังสือเดินทาง (Passport) ที่ยังไม่หมดอายุ
-
มีค่าธรรมเนียมในการทำ e-KYC หรือไม่?
ไม่มีค่าธรรมเนียมในการทำ e-KYC ผ่านแอป K PLUS
-
ขั้นตอนการทำ e-KYC ใช้เวลานานแค่ไหน?
โดยทั่วไปใช้เวลาประมาณ 5-10 นาที หากมีการเตรียมเอกสารและอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม (มีแสงสว่างเพียงพอ มีสัญญาณอินเทอร์เน็ตเสถียร)
-
หากทำ e-KYC ไม่สำเร็จ ต้องทำอย่างไร?
หากทำ e-KYC ไม่สำเร็จ ระบบจะแจ้งสาเหตุและวิธีแก้ไข คุณสามารถลองทำใหม่ได้ในภายหลัง โดยแก้ไขตามคำแนะนำ เช่น ปรับแสงให้เพียงพอ ใช้เอกสารที่ไม่เสียหาย หรือหากยังไม่สำเร็จ สามารถติดต่อ K-Contact Center โทร. 02-8888888 เพื่อขอคำแนะนำเพิ่มเติม
-
หลังจากทำ e-KYC เสร็จแล้ว จะเริ่มลงทุนได้เมื่อไหร่?
คุณสามารถเริ่มลงทุนได้ทันทีหลังจากทำ e-KYC เสร็จสมบูรณ์ และได้รับการแจ้งยืนยันผ่านแอป K PLUS
-
Wealth PLUS เหมาะกับผู้เริ่มต้นลงทุนจริงหรือ?
Wealth PLUS ออกแบบมาเพื่อเป็นผู้ช่วยสำหรับทุกคน โดยเฉพาะผู้เริ่มต้นลงทุนที่ยังไม่มีความรู้มากนัก ระบบจะช่วยวิเคราะห์และแนะนำการลงทุนที่เหมาะสมให้โดยอัตโนมัติ
การยืนยันตัวตนด้วย e-KYC เป็นก้าวสำคัญในการเข้าถึงบริการทางการเงินและการลงทุนในยุคดิจิทัล ด้วยขั้นตอนที่ง่าย สะดวก และปลอดภัย e-KYC จึงเป็นประตูสู่โอกาสในการลงทุนและการบริหารเงินอย่างมีประสิทธิภาพ
เมื่อทำ e-KYC เสร็จก็สามารถเริ่มต้นลงทุนได้ทันทีด้วยบริการ Wealth PLUS ผู้ช่วยอัจฉริยะที่จะช่วยวิเคราะห์และแนะนำพอร์ตการลงทุนที่เหมาะสมกับคุณ ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้เริ่มต้นหรือนักลงทุนที่มีประสบการณ์ เพียงเท่านี้ คุณก็พร้อมสำหรับการเริ่มต้นลงทุนได้อย่างมั่นใจ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก : บลจ.กสิกรไทย, สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์