ไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัย! เรียนรู้วิธียืนยันตัวตน e-KYC แบบง่ายๆ และเริ่มต้นลงทุนอย่างมั่นใจกับ Wealth Plus ที่แนะนำพอร์ตให้เหมาะกับคุณโดยอัตโนมัติ

ยืนยันตัวตน e-KYC คืออะไร? สมัครง่ายๆ ผ่านแอป K PLUS พร้อมเปิดประตูสู่การลงทุน

ไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัย! เรียนรู้วิธียืนยันตัวตน e-KYC แบบง่ายๆ และเริ่มต้นลงทุนอย่างมั่นใจกับ Wealth Plus ที่แนะนำพอร์ตให้เหมาะกับคุณโดยอัตโนมัติ

กดฟัง
หยุด
  • ระบบยืนยันตัวตนทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-KYC) ช่วยให้การเปิดบัญชีลงทุนเป็นเรื่องง่าย ปลอดภัย และสะดวกรวดเร็ว ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคดิจิทัลในปัจจุบัน โดยสามารถยืนยันตัวตนได้ทุกที่ทุกเวลาผ่านแอป K PLUS เพียงไม่กี่นาที
  • e-KYC ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยระดับสูงจากสำนักงาน ก.ล.ต. ด้วยเทคโนโลยีการยืนยันตัวตนสมัยใหม่ ทั้งการสแกนเอกสาร การตรวจสอบใบหน้า และการถ่ายภาพเซลฟี่ เพื่อป้องกันการฉ้อโกงและการสวมรอยเป็นบุคคลอื่น ที่สำคัญข้อมูลจะถูกเข้ารหัสและเก็บรักษาอย่างปลอดภัยตามมาตรฐานสากล
  • หลังจากทำ e-KYC เสร็จ คุณสามารถเริ่มต้นลงทุนด้วยบริการ Wealth PLUS ผู้ช่วยอัจฉริยะที่วิเคราะห์และแนะนำพอร์ตการลงทุนที่เหมาะกับคุณ โดยกระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสมในหลายสินทรัพย์ ทั้งในและต่างประเทศ เริ่มต้นง่าย แม้ไม่มีประสบการณ์ลงทุนมาก่อน พร้อมติดตามและปรับพอร์ตอัตโนมัติให้เหมาะกับสภาวะตลาด

ในยุคดิจิทัล การทำธุรกรรมทางการเงินเป็นเรื่องง่าย และสะดวก รวดเร็ว แม้คนที่ยังไม่เคยเปิดบัญชีมาก่อนก็สามารถยืนยันตัวตนแบบ e-KYC และเปิดบัญชีได้ด้วยตัวเอง แล้ว e-KYC คืออะไร มีความสำคัญอย่างไร และช่วยเปิดประตูไปสู่โลกของการลงทุนได้อย่างไร ติดตามได้ในบทความนี้


ยืนยันตัวตน e-KYC คืออะไร? เริ่มต้นง่ายๆ ได้ในไม่กี่ขั้นตอน

การยืนยันตัวตนทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-KYC (Electronic Know Your Customer) เป็นกระบวนการตรวจสอบและพิสูจน์ตัวตนของลูกค้าผ่านช่องทางดิจิทัล ที่พัฒนาขึ้นเพื่อทดแทนการยืนยันตัวตนแบบดั้งเดิมที่ต้องเดินทางไปทำธุรกรรมที่สาขาของธนาคารหรือสถาบันการเงิน


ในยุคที่ทุกคนใช้ชีวิตบนโลกดิจิทัลมากขึ้น e-KYC จึงเป็นเหมือนกุญแจสำคัญที่เปิดประตูสู่โลกการลงทุนออนไลน์ โดยที่คุณไม่จำเป็นต้องเสียเวลาเดินทางหรือรอคิวที่สาขา สามารถยืนยันตัวตนได้ด้วยตนเองผ่านแอปพลิเคชัน K PLUS เพียงไม่กี่นาที ด้วยขั้นตอนที่เข้าใจง่ายและปลอดภัย


e-KYC ไม่เพียงแต่เป็นการยืนยันว่า "คุณคือคุณจริงๆ" แต่ยังเป็นการยกระดับความปลอดภัยให้กับระบบการเงินดิจิทัล ป้องกันการฉ้อโกง การสวมรอยเป็นบุคคลอื่น และรักษาความเป็นส่วนตัวของข้อมูลส่วนบุคคล รวมถึงช่วยให้สถาบันการเงินปฏิบัติตามกฎระเบียบและข้อบังคับจากหน่วยงานกำกับดูแลได้อย่างถูกต้อง


KYC ย่อมาจากอะไร และทำไมจึงสำคัญ?

KYC ย่อมาจาก "Know Your Customer" หรือ "การรู้จักลูกค้าของคุณ" เป็นกระบวนการที่สถาบันการเงินต้องดำเนินการเพื่อยืนยันตัวตนของลูกค้าก่อนให้บริการทางการเงิน ซึ่งมีจุดประสงค์หลักคือ


  1. ป้องกันการฟอกเงินและการทุจริต KYC ช่วยให้สถาบันการเงินสามารถตรวจสอบและระบุลูกค้าที่อาจมีความเสี่ยงหรือเกี่ยวข้องกับกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย
  2. ยืนยันตัวตนที่แท้จริง ป้องกันการปลอมแปลงตัวตนและการสวมรอยเพื่อทำธุรกรรมทางการเงิน
  3. สอดคล้องกับข้อกำหนดทางกฎหมาย สถาบันการเงินต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงาน ก.ล.ต. และหน่วยงานกำกับดูแลอื่นๆ
  4. สร้างความน่าเชื่อถือ ระบบการเงินที่มีการตรวจสอบที่เข้มงวดจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ใช้บริการ

ในอดีต KYC มักทำโดยการไปพบเจ้าหน้าที่ที่สาขาธนาคารหรือสถาบันการเงินพร้อมเอกสารยืนยันตัวตน ซึ่งต้องใช้เวลาและไม่สะดวกสำหรับผู้ใช้บริการ ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี จึงเกิดการพัฒนาระบบ e-KYC ที่สามารถทำผ่านช่องทางดิจิทัลได้อย่างปลอดภัย


ทำไมต้องยืนยันตัวตนด้วย e-KYC?

การยืนยันตัวตนด้วย e-KYC มีข้อดีและประโยชน์มากมายที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ในยุคดิจิทัล ดังนี้


ข้อดีสำหรับผู้ใช้บริการ
  1. ความสะดวกรวดเร็ว สามารถทำได้ทุกที่ทุกเวลาผ่านสมาร์ทโฟน ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที
  2. ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย ลดการเดินทาง การรอคิวที่สาขา และค่าใช้จ่ายในการเดินทาง
  3. ความปลอดภัยสูง ระบบ e-KYC ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยระดับสูงจากสำนักงาน ก.ล.ต. มีการเข้ารหัสข้อมูลและการยืนยันตัวตนหลายขั้นตอน
  4. ทำได้ด้วยตนเอง ขั้นตอนเข้าใจง่าย มีคำแนะนำชัดเจน ไม่ต้องพึ่งพาเจ้าหน้าที่
  5. เข้าถึงบริการลงทุนได้ทันที หลังจากทำ e-KYC เสร็จ สามารถเริ่มต้นลงทุนได้ทันที ไม่ต้องรอ

ความน่าเชื่อถือและความปลอดภัย

ระบบ e-KYC ต้องได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และธนาคารแห่งประเทศไทย โดยมีการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยในการตรวจสอบและพิสูจน์ตัวตน เช่น


  • การตรวจสอบความถูกต้องของเอกสารยืนยันตัวตน
  • การสแกนใบหน้าและเปรียบเทียบกับรูปในเอกสาร
  • การตรวจจับการเคลื่อนไหวของใบหน้าเพื่อยืนยันว่าเป็นบุคคลจริง ไม่ใช่รูปภาพ
  • การเข้ารหัสข้อมูลและการเก็บรักษาข้อมูลตามมาตรฐานความปลอดภัยระดับสูง

วิธีลงทะเบียน e-KYC ต้องทำอย่างไร?

การลงทะเบียน e-KYC ผ่านแอปพลิเคชัน K PLUS ทำได้ง่ายๆ เพียงไม่กี่ขั้นตอน ดังนี้


  1. เข้าสู่แอป K PLUS ด้วยชื่อผู้ใช้และรหัสผ่านของคุณ
  2. ไปที่เมนู "ลงทุน" จากนั้นเลือก "เปิดบัญชีลงทุน"
  3. เลือก "เริ่มต้น e-KYC" และกด "ยอมรับข้อตกลงและเงื่อนไข"
  4. อัปโหลดเอกสารยืนยันตัวตน โดยเลือกจาก
    • บัตรประจำตัวประชาชน
    • หนังสือเดินทาง (กรณีชาวต่างชาติ)
  5. ถ่ายภาพตัวเอง (เซลฟี่) ตามคำแนะนำบนหน้าจอ เพื่อเปรียบเทียบกับรูปในเอกสาร
  6. ยืนยันข้อมูลส่วนตัว ตรวจสอบความถูกต้องของชื่อ-นามสกุล ที่อยู่ อาชีพ รายได้ และข้อมูลอื่นๆ
  7. ตอบคำถามเพื่อประเมินความเสี่ยง วิเคราะห์ระดับความเสี่ยงที่เหมาะสมกับการลงทุนของคุณ
  8. ยืนยันการทำรายการ ด้วยรหัส OTP ที่ส่งไปยังหมายเลขโทรศัพท์ของคุณ

เคล็ดลับการทำ e-KYC ให้สำเร็จในครั้งแรก

  • ทำในบริเวณที่มีแสงสว่างเพียงพอ
  • ใช้เอกสารตัวจริงที่ยังไม่หมดอายุ
  • ตรวจสอบความชัดเจนของภาพถ่ายเอกสารและใบหน้า
  • กรอกข้อมูลให้ถูกต้องครบถ้วนตามความเป็นจริง
  • หลีกเลี่ยงการสวมแว่นตา หมวก หรืออุปกรณ์ที่บดบังใบหน้าขณะถ่ายภาพ

เมื่อการยืนยันตัวตนผ่านระบบ e-KYC เสร็จสมบูรณ์ คุณจะได้รับการแจ้งเตือนผ่านแอป K PLUS และสามารถเริ่มใช้บริการลงทุนได้ทันที


หลังจากทำ e-KYC แล้ว สามารถทำอะไรต่อได้บ้าง?

หลังจากที่คุณผ่านการยืนยันตัวตนด้วย e-KYC แล้ว ประตูแห่งโอกาสในการลงทุนและบริการทางการเงินดิจิทัลจะเปิดกว้าง สามารถทำธุรกรรมต่างๆ ได้มากมาย ดังนี้


  1. เข้าถึงบริการลงทุนออนไลน์แบบครบวงจร
    • ซื้อขายกองทุนรวมจากหลากหลายบริษัทจัดการกองทุน
    • ลงทุนในหุ้นไทยและหุ้นต่างประเทศ
    • ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลและตราสารหนี้

  2. ทำธุรกรรมที่มีมูลค่าสูงได้
  3. ธนาคารและสถาบันการเงินมักจำกัดวงเงินในการทำธุรกรรมสำหรับบัญชีที่ยังไม่ผ่านการยืนยันตัวตนด้วย e-KYC ซึ่งหลังจากยืนยันตัวตนแล้ว คุณจะสามารถ

    • โอนเงินในวงเงินที่สูงขึ้น
    • ทำธุรกรรมทางการเงินที่มีมูลค่าสูงได้อย่างปลอดภัย
    • ใช้บริการพิเศษอื่นๆ ที่ต้องการการยืนยันตัวตนระดับสูง

  4. เริ่มต้นลงทุนด้วยบริการ Wealth PLUS
  5. หนึ่งในบริการพิเศษที่คุณสามารถเข้าถึงได้หลังจากทำ e-KYC คือ บริการ Wealth PLUS ผู้ช่วยอัจฉริยะในการลงทุนที่จะช่วยให้การลงทุนของคุณง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น



เริ่มต้นลงทุนง่ายๆ ด้วย Wealth PLUS เหมาะกับมือใหม่ทุกคน

Wealth PLUS คือ ระบบผู้ช่วยอัจฉริยะด้านการลงทุน (Robo-Advisor) เพื่อช่วยให้ทุกคนสามารถเริ่มต้นลงทุนได้อย่างมั่นใจ แม้ไม่มีความรู้เรื่องการลงทุนมาก่อน


จุดเด่นของ Wealth PLUS
  1. วางแผนการลงทุนแบบส่วนตัว วิเคราะห์ข้อมูลและพฤติกรรมของคุณเพื่อสร้างพอร์ตการลงทุนที่เหมาะสมกับเป้าหมาย ระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ และระยะเวลาลงทุนของคุณ
  2. ระบบแนะนำพอร์ตอัตโนมัติ แนะนำการจัดสรรสินทรัพย์ที่เหมาะสม โดยใช้อัลกอริทึมการลงทุนที่พัฒนาร่วมกับผู้เชี่ยวชาญในวงการการเงิน
  3. กระจายความเสี่ยงอย่างมืออาชีพ กระจายการลงทุนให้ครอบคลุมสินทรัพย์หลากหลายประเภท ทั้งหุ้น ตราสารหนี้ และสินทรัพย์ทางเลือกทั่วโลก
  4. ลงทุนแบบ DCA ง่ายๆ ระบบจะช่วยให้คุณลงทุนแบบสม่ำเสมอด้วยบริการลงทุนรายเดือน Dollar-Cost Averaging (DCA) เพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาด
  5. ติดตามและปรับพอร์ตอัตโนมัติ ระบบติดตามและวิเคราะห์ผลการดำเนินงานของพอร์ตการลงทุน พร้อมปรับพอร์ตการลงทุนให้ทันสถานการณ์

เริ่มต้นใช้งาน Wealth PLUS ได้อย่างไร?

หลังจากทำ e-KYC เสร็จสิ้น คุณสามารถเริ่มใช้บริการ Wealth PLUS ได้ง่าย ๆ ผ่านแอป K PLUS ดังนี้


  1. เข้าสู่แอป K PLUS และไปที่เมนู "ลงทุน"
  2. เลือก "Wealth PLUS" และกด "เริ่มวางแผน"
  3. ตอบคำถามเพื่อประเมินเป้าหมายการลงทุนและระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
  4. ระบบจะแนะนำพอร์ตการลงทุนที่เหมาะสมสำหรับคุณ
  5. เลือกจำนวนเงินที่ต้องการลงทุนและยืนยันการลงทุน

Wealth PLUS เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นลงทุนและนักลงทุนที่มีประสบการณ์ที่ต้องการความสะดวกในการจัดพอร์ตการลงทุนโดยทีมผู้เชี่ยวชาญ


คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ e-KYC และการลงทุน

  1. ข้อมูลส่วนตัวของฉันจะปลอดภัยหรือไม่?
  2. ความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลมีความสำคัญเป็นอย่างมาก ระบบ e-KYC ใช้เทคโนโลยีการเข้ารหัสขั้นสูงและปฏิบัติตามมาตรฐานการรักษาความปลอดภัยระดับสากล นอกจากนี้ ข้อมูลของคุณจะถูกใช้เฉพาะเพื่อวัตถุประสงค์ในการยืนยันตัวตนและการให้บริการทางการเงินเท่านั้น


  3. ต้องใช้เอกสารอะไรบ้างในการทำ e-KYC?
  4. สำหรับคนไทย ใช้เพียงบัตรประจำตัวประชาชนที่ยังไม่หมดอายุ สำหรับชาวต่างชาติ ใช้หนังสือเดินทาง (Passport) ที่ยังไม่หมดอายุ


  5. มีค่าธรรมเนียมในการทำ e-KYC หรือไม่?
  6. ไม่มีค่าธรรมเนียมในการทำ e-KYC ผ่านแอป K PLUS


  7. ขั้นตอนการทำ e-KYC ใช้เวลานานแค่ไหน?
  8. โดยทั่วไปใช้เวลาประมาณ 5-10 นาที หากมีการเตรียมเอกสารและอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม (มีแสงสว่างเพียงพอ มีสัญญาณอินเทอร์เน็ตเสถียร)


  9. หากทำ e-KYC ไม่สำเร็จ ต้องทำอย่างไร?
  10. หากทำ e-KYC ไม่สำเร็จ ระบบจะแจ้งสาเหตุและวิธีแก้ไข คุณสามารถลองทำใหม่ได้ในภายหลัง โดยแก้ไขตามคำแนะนำ เช่น ปรับแสงให้เพียงพอ ใช้เอกสารที่ไม่เสียหาย หรือหากยังไม่สำเร็จ สามารถติดต่อ K-Contact Center โทร. 02-8888888 เพื่อขอคำแนะนำเพิ่มเติม


  11. หลังจากทำ e-KYC เสร็จแล้ว จะเริ่มลงทุนได้เมื่อไหร่?
  12. คุณสามารถเริ่มลงทุนได้ทันทีหลังจากทำ e-KYC เสร็จสมบูรณ์ และได้รับการแจ้งยืนยันผ่านแอป K PLUS


  13. Wealth PLUS เหมาะกับผู้เริ่มต้นลงทุนจริงหรือ?
  14. Wealth PLUS ออกแบบมาเพื่อเป็นผู้ช่วยสำหรับทุกคน โดยเฉพาะผู้เริ่มต้นลงทุนที่ยังไม่มีความรู้มากนัก ระบบจะช่วยวิเคราะห์และแนะนำการลงทุนที่เหมาะสมให้โดยอัตโนมัติ



การยืนยันตัวตนด้วย e-KYC เป็นก้าวสำคัญในการเข้าถึงบริการทางการเงินและการลงทุนในยุคดิจิทัล ด้วยขั้นตอนที่ง่าย สะดวก และปลอดภัย e-KYC จึงเป็นประตูสู่โอกาสในการลงทุนและการบริหารเงินอย่างมีประสิทธิภาพ


เมื่อทำ e-KYC เสร็จก็สามารถเริ่มต้นลงทุนได้ทันทีด้วยบริการ Wealth PLUS ผู้ช่วยอัจฉริยะที่จะช่วยวิเคราะห์และแนะนำพอร์ตการลงทุนที่เหมาะสมกับคุณ ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้เริ่มต้นหรือนักลงทุนที่มีประสบการณ์ เพียงเท่านี้ คุณก็พร้อมสำหรับการเริ่มต้นลงทุนได้อย่างมั่นใจ


ขอขอบคุณข้อมูลจาก : บลจ.กสิกรไทย, สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์


คำเตือน

“ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน”

ผู้เขียน

K WEALTHสุวิมล ยิ่งเจริญรุ่งโรจน์ CFP®

Back to top