ลงทุนในหุ้นจีนตัวท๊อปผ่านกองทุน MEGA10CHINA และ K-CHINA

สหรัฐ-จีนขึ้นภาษีตอบโต้ เศรษฐกิจและตลาดหุ้นปั่นป่วน

• นับตั้งแต่เดือนก.พ.เป็นต้นมาสหรัฐฯ เริ่มมีการใช้มาตรการกำแพงภาษี โดยในวันที่ 2 เม.ย. สหรัฐฯ ประกาศเก็บภาษีนำเข้าเกือบทุกประเทศทั่วโลก ยิ่งสร้างความปั่นป่วนต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้น อย่างไรก็ตามล่าสุด ปธน.ทรัมป์ประกาศว่าจะลดอัตราภาษีนำเข้าจากต่างประเทศส่วนใหญ่ ยกเว้นจีน ลงชั่วคราวเป็น 10% เป็นเวลา 90 วัน แต่สำหรับจีนนั้นการตอบโต้ระหว่างทั้งสองประเทศกลับยิ่งทวีความรุนแรง
• ตลอดช่วง 1 สัปดาห์ (3-10 เม.ย.) ดัชนี CSI300 -3.2% , SHCOMP -3.7% และ Hang Seng -10.8% หุ้นที่ปรับตัวลดลงนำโดย กลุ่มเทคโนโลยี และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งสหรัฐฯ มีการนำเข้าจากจีนในสัดส่วนสูง

นักวิเคราะห์ปรับลด GDP จีนลง 0.5% ด้านจีนเร่งหารือมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ

• นักวิเคราะห์เริ่มทยอยปรับลดคาดการณ์ GDP ของจีนปีนี้ลงจากผลกระทบของมาตรการภาษี Citi Bank คาดว่า GDP ของจีนปีนี้จะขยายตัวเหลือ 4.2% จากเดิม 4.7% ขณะที่ Goldman Sachs คาดว่า GDP จีนจะขยายตัวเหลือ 4% จากเดิม 4.5% ด้านทางการจีนได้เคยเปิดเผยเป้าหมายการขยายตัวของเศรษฐกิจปีนี้ที่ 5%

ทางการจีนไม่นิ่งนอนใจ นับตั้งแต่ปธน.ทรัมป์เข้ารับตำแหน่ง ได้มีการวางแผนกำหนดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อรองรับผลกระทบตั้งแต่ก่อนที่จะถูกขึ้นภาษี และยังคงส่งสัญญาณเรื่อยมาว่านโยบายการเงินและนโยบายการคลังของจีนยังอยู่ในระดับที่ผ่อนคลาย รวมทั้ง ส่งสัญญาณยอมให้เงินหยวนอ่อนค่าสุดในรอบ 18 ปี เพื่อสู้กับมาตรการภาษีของปธน.ทรัมป์ และล่าสุดมีการเรียกประชุมคณะผู้นำจีน ซึ่งตลาดคาดหวังว่าจีนจะมีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทางการคลังและการลดอัตราดอกเบี้ย

อย่างไรก็ตามการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นจีนจะเป็นอย่างไรถัดจากนี้ คงขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงแผนรับมือและโอกาสในการเจรจากับสหรัฐฯ หากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาได้โดนใจตลาด หรือมีโอกาสในการเจรจากับสหรัฐฯ ตลาดหุ้นจีนก็อาจมีหวังที่จะรีบาวด์ต่อจากต้นปีได้ ซึ่งยังประเด็นที่เราต้องจับตากันต่อไป

ก่อนอื่น เรามาเตรียมพร้อม มองหากองทุนจีนดีๆ ไว้ก่อนเถอะ

ส่องหุ้นจีนผลตอบแทนเด่น ลงทุนได้ผ่านกองทุน MEGA10CHINA และ K-CHINA

MEGA10CHINA-A :

• เน้นลงทุนในหุ้นของบริษัทที่มีแบรนด์ชั้นนําของประเทศจีน 10 ตัวที่จดทะเบียนซื้อขายอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง (HKEX) โดยจะต้องเป็นบริษัทที่มีมูลค่าตลาดขนาดใหญ่ มีสภาพคล่องสูง และเน้นความเป็นผู้นำในด้าน Brand
• เหมาะกับใคร
• นักลงทุนที่อยากลงทุนและเติบโตไปกับหุ้นยักษ์ใหญ่ของจีน
• นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงเพราะมีการลงทุนกระจุกตัวในหุ้นเพียง 10 ตัว
• อยากลงทุนในหุ้นจีนที่จดทะเบียนในตลาดฮ่องกงเท่านั้น
• นักลงทุนที่อยากลุ้นตลาด H-Share รีบาวด์

K-CHINA-A(A)

• ลงทุนในตลาดหุ้นจีนที่จดทะเบียนในประเทศต่างๆ ทั่วโลก (All China) ผ่านกองทุนหลัก JPMorgan China Fund (ปัจจุบันมีสัดส่วน H-Share 59.8%, A-Share28.9%, อื่นๆ 11%)
• เหมาะกับใคร
• นักลงทุนที่อยากลงทุนในหุ้นจีน All China และอยากกระจายการลงทุน โดยปัจจุบันมีการลงทุนในหุ้นกว่า 50-60 ตัว
• นักลงทุนที่อยากลดความเสี่ยงจากตลาด H-share ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมามากก่อนหน้านี้ และได้รับผลกระทบจากนโยบายกาขึ้นภาษี และต้องการกระจายการลงทุนยังตลาดหุ้นจีน A-Share ที่ได้อานิสงส์จากการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยตรง