ข่าวการขึ้นภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ และการตอบโต้ทางการค้าระหว่างประเทศมหาอำนาจ เริ่มกดดันตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทำให้ดัชนีอย่าง S&P 500 และ Nasdaq เริ่มอ่อนตัวลงจากจุดสูงสุด นักลงทุนบางคนเริ่มตื่นตระหนก แต่ในอีกมุมหนึ่ง… หรือ นี่อาจเป็น “โอกาสซ่อนอยู่” สำหรับคนที่มองก

ชวนทำความรู้จักสไตล์ K-USA ให้มากขึ้น

ข่าวการขึ้นภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ และการตอบโต้ทางการค้าระหว่างประเทศมหาอำนาจ เริ่มกดดันตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทำให้ดัชนีอย่าง S&P 500 และ Nasdaq เริ่มอ่อนตัวลงจากจุดสูงสุด นักลงทุนบางคนเริ่มตื่นตระหนก แต่ในอีกมุมหนึ่ง… หรือ นี่อาจเป็น “โอกาสซ่อนอยู่” สำหรับคนที่มองก

กดฟัง
หยุด
  • ข่าวการขึ้นภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ และการตอบโต้ทางการค้าระหว่างประเทศมหาอำนาจ เริ่มกดดันตลาดหุ้นสหรัฐฯ เห็นได้จากการปรับตัวลงของดัชนีอย่าง S&P 500 และ Nasdaq จากจุดสูงสุด ซึ่งทำให้นักลงทุนบางคนเริ่มตื่นตระหนก แต่ในอีกมุมหนึ่ง… หรือ นี่อาจเป็น “โอกาสที่ซ่อนอยู่” สำหรับคนที่มองการลงทุนระยะยาว

ที่มา Bespoke Investment Group


ทำไมการ “ย่อตัว” ครั้งนี้อาจเป็นจังหวะที่ดีในการเข้าซื้อ?

ตั้งแต่ต้นปี 2025 เป็นต้นมา ดัชนี S&P 500 ปรับตัวลงมาแล้วกว่า 10.5% (ข้อมูล ณ วันที่ 18 เมษายน 2025) และเคยปรับลงแรงที่สุดถึง -15% เมื่อวันที่ 8 เมษายน สาเหตุเกิดจากแรงขายทำกำไรของนักลงทุนจากความกังวลมาตรการภาษีของปธน. ทรัมป์ที่ประกาศออกมาเมื่อวันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา


อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลของ Bespoke Investment Group ชี้ว่า ในอดีตตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา ทุกครั้งที่ดัชนี S&P 500 ร่วงแรงกว่า 15% ไตรมาสต่อไตรมาส (ตารางซ้าย) ซึ่งมีเพียงเก้าครั้ง หากเข้าลงทุน ผลตอบแทนเฉลี่ยในปีถัดมาจะสูงถึง 25.1% และถ้าตลาดร่วงหนักถึง 20% สองไตรมาสติดกัน (ตารางขวา) ซึ่งมีเพียงแปดครั้งเท่านั้น ดัชนีจะปรับเพิ่มขึ้นเฉลี่ยถึง 29.6% ในปีถัดมา


เมื่อพิจารณาจากข้อมูลในอดีต จุดที่ตลาดย่อตัวในขณะนี้อาจเป็นจังหวะที่ดีที่นักลงทุนจะทยอยเข้าสะสมเพื่อการลงทุนในระยะกลางถึงยาว


แล้วควรเลือกลงทุนหุ้นอะไรในจังหวะแบบนี้?

ถ้าคุณเชื่อว่า “หุ้นดีราคาถูก” คือโอกาสที่ควรเก็บตอนตลาดย่อตัว กองทุน K-USA จากบลจ.กสิกรไทย คือทางเลือกที่น่าพิจารณา


K-USA ลงทุนในกองทุนหลัก Brown Advisory US Sustainable Growth Fund โดยมีกลยุทธ์คัดเลือกหุ้นจากปัจจัยเชิงคุณภาพ ไม่ใช่แค่ราคาถูก


กลยุทธ์การลงทุน Sustainable Business Advantages (SBA) เน้นการลงทุนในธุรกิจที่มีความได้เปรียบในการแข่งขันอย่างยั่งยืน โดยพิจารณาจาก:

  • การเติบโตของรายได้: ธุรกิจที่มีผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ช่วยแก้ไขปัญหาด้านความยั่งยืน และสามารถดึงดูดลูกค้าใหม่ รวมถึงรักษาฐานลูกค้าเดิม
  • การลดต้นทุน: การเพิ่มอัตรากำไรผ่านการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ เช่น การใช้โซลูชันด้าน IT เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน
  • การเพิ่มมูลค่าของแบรนด์: ธุรกิจที่มีความมุ่งมั่นในการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ทำให้แบรนด์เป็นที่ชื่นชอบและสามารถดึงดูดบุคลากรคุณภาพ

โดยสุดท้ายแล้ว กองทุนจะลงทุนในหุ้นเพียง 30-40 ตัว และบริหารความเสี่ยงอย่างรัดกุม เพื่อให้ผลตอบแทนระยะยาวน่าสนใจ ซึ่งหากลงทุนตั้งแต่เมษายน ปี 2017 จนถึง 31 มีนาคม 2025 กองทุนหลักมีผลตอบแทนเติบโตถึง 3 เท่า



ที่มา Brown Advisory


ตัวอย่างหุ้นที่มี Sustainable Business Advantage

หนึ่งในหุ้น 10 ตัวแรกที่กองทุนหลักของ K-USA เข้าลงทุน คือ Progressive Corporation บริษัทประกันภัยรายใหญ่ในสหรัฐฯ ที่มีโมเดลธุรกิจแบบไฮบริด ให้บริการประกันรถยนต์ทั้งส่วนบุคคลและเชิงพาณิชย์

  • การเพิ่มรายได้: Progressive ใช้ AI และ Machine Learning เพื่อคัดกรองความเสี่ยง ทำให้สามารถกำหนดเบี้ยประกันได้เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละราย ซึ่งช่วยดึงดูดกลุ่มลูกค้าที่มีอัตรากำไรสูง (Profitable Segments)
  • การลดต้นทุน: การใช้โซลูชันด้าน IT เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน เช่น เคลมประกันผ่านแอปหรือระบบอัตโนมัติ ช่วยลดค่าใช้จ่ายด้าน Call Center และงานเอกสาร
  • การเพิ่มมูลค่าของแบรนด์: สร้างความเชื่อมั่นด้านการบริการ โดย Progressive ได้รับคะแนนความพึงพอใจลูกค้า (Customer Satisfaction) สูงกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้าออนไลน์

หุ้นสหรัฐฯ ย่อตัว = จุดซื้อ ไม่ใช่จุดหนี

ตลาดหุ้นระยะสั้นอาจผันผวนจากข่าวนโยบายการค้าหรือภาษี แต่หากคุณเชื่อในศักยภาพของบริษัทในสหรัฐฯ โดยเฉพาะกลุ่มบริษัทที่เติบโตอย่างยั่งยืน ให้กองทุน K-USA เป็น “ตัวแทนของความกล้า” ที่ควรมีในพอร์ตตอนนี้


“วิกฤต” สำหรับคนหนึ่ง อาจเป็น “จุดเริ่มต้น” ของอีกคนหนึ่งเสมอ


เรามีมุมมองเชิงบวกกับตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่มีปัจจัยพื้นฐานโดดเด่นเฉพาะตัว และมองว่าการเลือกหุ้นลงทุนมีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้มากกว่าการลงทุนบนดัชนีในช่วงนี้ จึงแนะนำนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง เข้าสะสมกองทุน K-USA ในช่วงที่ตลาดย่อตัว และสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้น้อยกว่า กองทุนนี้ก็มีให้เลือกลงทุนทั้ง Share Class แบบจ่ายปันผลและไม่จ่ายปันผล รวมถึงมีกองทุนลดหย่อนภาษี SSF RMF ให้เลือกลงทุนอีกด้วย ด้วยศักยภาพการเติบโตของบริษัทในพอร์ตทั้งระยะสั้นและระยะยาว ประกอบกับถึงความหลากหลายของแต่ละกองทุนตามที่ได้กล่าวไปข้างต้น K WEALTH จึงแนะนำให้เข้าลงทุนแต่ไม่ควรมีสัดส่วนเกิน 20% ของพอร์ตการลงทุน* เพิ่มเติมจาก Core Portfolio ที่ K WEALTH แนะนำลงทุนในกองทุนผสม K-WealthPLUS series ได้แก่ K-WPBALANCED, K-WPSPEEDUP หรือ K-WPULTIMATE โดยเลือกลงทุนเพียง 1 กองตามระดับความเสี่ยงที่ลูกค้ารับได้


ขอขอบคุณข้อมูลจาก: Bespoke Investment Group ,Brown Advisory



คำเตือน

โปรดศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจากบลจ. กสิกรไทย (KASSET)

ผลการดำเนินงานในอดีต/ ผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต โปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน

ผู้เขียน

KWEALTHพิมลพรรณ จุฬพุฒิพงษ์ CISA , AFPT™

Back to top